วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตอบไวแบบสายฟ้าแลบคือฉลาด ชัวร์หรือมั่วนิ่ม?

จริงๆแล้วเรื่องนี้ผมก็พยายามหาคำตอบมาได้สักพักแล้วเพราะเป็นส่วนสำคัญของการเรียนการสอน แต่สิ่งที่กระตุ้นให้มาเขียนถึงก็คือกรณีที่มีตัวแทนไทยไปถามปธน.โอบามาใน Young Southeast Asian Leaders Initiative ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนนี้ว่า "ถ้าเป็นคนโรฮิงญาจะอยากอยู่ประเทศไหน? และทำไม?" (ดูวีดีโอได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1AKifPB เริ่มต้นที่ 41:50)


ผมรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษเพราะผมพบว่าหลายๆคนมองว่าเจอคำถามนี้เข้าไป "โอบามาถึงกับอึ้ง" ถ้าเราไปย้อนดูวีดีโอแล้วเราก็จะพบว่าตั้งแต่ถามคำถามจบ จนถึงตอนที่ปธน.โอบามาเริ่มตอบ ใช้เวลาประมาณแปดวินาที (42:18-42:26) ซึ่งเป็นเวลาที่นานกว่าหลายๆคำถามในกิจกรรมเดียวกันจริงๆ โดยในหลายๆคำถามในกิจกรรมนี้ปธน.โอบามาจะตอบภายในสองถึงสามวินาทีเท่านั้น หรือบางอันก็แทบจะเริ่มตอบได้ทันที ความแตกต่างของเวลานี้ก็คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆคนมองว่ากรณีนี้ปธน.โอบามา "อึ้ง"

ถ้าเราลองมองไปรอบๆตัว รวมทั้งมองไปข้างในตัวเอง ความเชื่อที่พบได้ทั่วไปสำหรับการตอบคำถามที่เรียกได้ว่า "ฉะฉานและฉลาดเฉลียว" ก็คือการที่ผู้ตอบสามารถตอบได้แทบจะทันที สิ่งนี้สะท้อนผ่านสื่อกระแสหลักซึ่งมีวิธีหนึ่งในการแสดงความฉลาดเฉลียวของตัวละครคือการตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พฤติกรรม "อึ้ง" ซึ่งตัวละครต้องใช้เวลาคิดนานนั้นก็มักจะถูกสื่อออกมาในภาพของสถานการณ์จนแต้ม

อีกจุดหนึ่งที่ความเชื่อนี้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนก็คือการถามคำถามในห้องเรียนระหว่างครูและนักเรียน มีการวิจัยว่าครูให้เวลานักเรียนคิดนานเท่าไหร่ในการตอบคำถาม(http://bit.ly/1IcExcJ) และพบว่าเวลาโดยเฉลี่ยที่ให้นั้นน้อยกว่าหนึ่งวินาที! และถ้ามีนักเรียนคนไหนสามารถตอบขึ้นมาได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆนั้น คำถามต่อไปก็มักจะตามมาภายในหนึ่งวินาทีหลังจากที่นักเรียนพูดจบ ถ้านักเรียนใช้เวลาคิดนานกว่านี้ครูก็มักจะถือว่านักเรียนตอบไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทุกคนลองนึกย้อนไปตอนที่เป็นนักเรียนก็คงจะเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น และนี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าความเชื่อในทำนองว่า การตอบคำถามได้รวดเร็วคือสิ่งที่ควรจะเป็น นั้นฝังรากลึกอยู่ในระบบความเชื่อของเรา


แต่ผมคิดว่ามุมมองที่จะเป็นประโยชน์กว่าคือการตั้งคำถามว่า "แนวคิดนี้ถูกต้องจริงหรือไม่?"

ย้อนกลับไปที่งานวิจัยทางข้างต้นอีกที สิ่งที่ผู้วิจัยเสนอก็คือให้ผู้ถามรอเป็นเวลาสามถึงห้าวินาที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเวลานานมาก และหลายๆคนจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องรอ ทว่าการตอบคำถามนั้นต้องใช้เวลามากกว่าที่เราคิด ถ้าเราลองมาคิดดูดีๆว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เราก็จะพบว่าการจะตอบคำถามนั้นต้องใช้กระบวนการถึงสี่ขั้นตอนด้วยกันก่อนจะเริ่มตอบได้ นั่นคือ 1.ตีความคำถาม 2.ค้นหาคำตอบที่เป็นไปได้ 3.พิจารณาว่าคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ดี และ 4.เรียบเรียงคำตอบให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้ฟังจะรู้เรื่อง ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆเลย แม้ว่าบางครั้งกระบวนการนี้อาจจะเร็ว แต่ก็คงไม่ได้เร็วไปกว่าหนึ่งวินาทีแน่นอน

Peter Bregman เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "Four Seconds" (http://bit.ly/1Gpe9xw) ซึ่งกล่าวถึงวิธีง่ายๆเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น และพูดถึงเหตุผลทางชีววิทยาที่รองรับข้อเสนอที่ผู้วิจัยตามข้างต้นบอกว่าให้รอสามถึงห้าวินาที ประเด็นสำคัญก็คือเวลาเรารับสิ่งกระตุ้นอะไรเข้ามาแล้วสมองส่วนแรกที่จะตอบสนองก็คือส่วนที่เรียกว่าอะมิกดะลา (amygdala - ชื่อเดียวกันกับเจ้าหญิงใน Star Wars ที่เป็นแม่ของอนาคินนั่นแหละ) ซึ่งอะมิกดะลานั้นเป็นเป็นสมองในส่วนของอารมณ์ความรู้สึก และไม่ใช่ส่วนที่รับผิดชอบตรรกะและความคิดระดับสูง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมองส่วนหน้า และตามสรีรวิทยาของสมองแล้วเวลาที่ต้องใช้ในการที่สมองส่วนหน้าจะเริ่มทำงานเต็มประสิทธิภาพก็คือประมาณหนึ่งถึงสองวินาที


ดังนั้นเราต้องการเวลาหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนที่สมองส่วนหน้าจะทำงานได้เต็มที่ และเราก็ต้องใช้เวลาต่อไปจากนั้นอีกหน่อยเพื่อคิดตามขั้นตอน 1-4 ตามข้างต้น ก็เป็นข้อสนับสนุนของคำแนะนำว่าเมื่อถามคำถามแล้วให้รอสามถึงห้าวินาที ซึ่งการรอสามถึงห้าวินาทีนี้ก็มีประโยชน์มากมาย เพราะคำตอบที่ได้จะยาวขึ้น สมบูรณ์ขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ภายหลังจากนั้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนจะเพิ่มขึ้น และกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ผุ้ถามเองก็ได้คำตอบที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับทั้งคู่นะครับ การตอบคำถามในสถานการณ์ของปธน.โอบามาก็ควรทำตามแนวคิดนี้เช่นกัน คือคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนตอบ และให้คำตอบที่มีเหตุมีผลและสมบูรณ์ที่สุดตามที่เวลาอำนวย ลองสังเกตว่าคำถามถัดไปในวีดีโอก็ต้องคิดพิจารณามากเช่นเดียวกัน(เริ่มต้นที่ 48:20) ซึ่งคำถามนี้ปธน.โอบามาใช้เวลาถึงสิบวินาทีก่อนจะเริ่มตอบ

แต่ ณ จุดนี้ผู้อ่านก็น่าจะมีข้อสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือ แล้วกรณีที่ตอบได้รวดเร็วทันทีล่ะ มันหมายถึงอะไร?

ผมคิดว่ามันมีได้สองเหตุผลครับ เหตุผลแรกคือผู้ตอบเคยตอบคำถามเดียวกันมาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะตอบได้เร็ว และเหตุผลที่สองก็คือคำถามเป็นคำถามแบบท่องจำ ผู้ตอบจึงไม่ต้องคิดพิจารณานัก นึกคำตอบออกก็ตอบได้เลย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของคำถามที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเจอเหตุการณ์ที่ใครตอบเราได้ภายในเวลาสั้นๆแล้วล่ะก็ ต้องลองคิดดูให้ดีๆนะครับว่าคำถามของเรานั้นง่ายเกินไปรึเปล่า

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ แล้วเราจะรอนานที่สุดเท่าไหร่? ซึ่งผมเองยังไม่เจองานวิจัยที่ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ที่ได้คุยกับหลายๆคนและได้เห็นตัวเลขที่ใช้กันทั่วๆไปแล้วก็มักจะอยู่ที่สิบวินาที คือถ้าถามไปแล้วสิบวินาทียังไม่มีใครยกมือ หรือคนตอบยังดูเก้ๆกังๆไม่รู้จะตอบยังไงล่ะก็ แสดงว่าน่าจะรอนานเกินไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคิดว่าผู้ตอบตอบไม่ได้ แต่อยู่ที่การกลับมามองคำถามของเราว่าเราถามรู้เรื่องไหม ให้ข้อมูลครบไหม เรียบเรียงคำถามใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องนะครับ

สรุปว่าภาพลักษณ์ของการตอบแบบไวสายฟ้าแลบ ตอบแบบสุดเทพภายในช่วงเวลาสั้นๆ มันเป็นแค่ความเชื่อครับ มีไว้แค่ให้หนังหรือละครน่าดูเท่านั้นแหละ แต่ไม่ตรงกับความจริง ในชีวิตจริงแล้วเวลาที่ควรรอคือห้าวินาที ถ้ารอถึงสิบวินาทีแล้วยังไม่มีคำตอบก็ลองพิจารณาสถานการณ์ และเรียบเรียงคำถามใหม่หรือไม่ก็ข้ามไปคำถามอื่นนะครับ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แก้ปัญหาผิดวิธี แก้ทั้งชาติก็ไม่จบ

- ชายคนหนึ่งมีปัญหาเพราะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้แฟน เขาพยายามพาแฟนไปช็อปปิ้งและกินอาหารหรูหราทุกครั้งที่มีโอกาส แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน

- บริษัทหนึ่งขัดแย้งกับลูกค้าเพราะเพราะลูกค้าไม่ค่อยให้ความเคารพการตัดสินใจของบริษัท และแม้บริษัทจะพยายามลดราคาสินค้าและบริการให้อยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็เป็นคู่ค้ากันต่อไปไม่ได้

- สามีภรรยาคู่หนึ่งพยายามจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตลูกมากเกินไป และแม้ว่าทั้งสามคนจะรักกันมาก แต่สุดท้ายแล้วลูกก็เลือกไปอยู่หอของมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตตามการตัดสินใจของตัวเอง

- เพื่อนสนิทสองคนรักผู้ชายคนเดียวกันแล้วตกลงกันไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไร และแม้ทั้งสองคนจะสนิทกันและเป็นเพื่อนกันมานาน แต่สุดท้ายก็ต้องหมางเมินกันไป

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยถ้าผมจะบอกว่าเรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และทุกท่านก็คงไม่แปลกใจถ้ามีใครมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง คำถามที่ผมอยากถามคือ เรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมีอะไรที่คล้ายกัน? ถ้าท่านตอบว่าทุกเรื่องมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ก็คงจะไม่ผิด ถ้าท่านตอบว่าคนในทุกเรื่องไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน แต่ผมอยากจะเสนอคำตอบหนึ่งให้ลองพิจารณากัน นั่นคือ "ทุกเรื่องใช้วิธีแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง"

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้อ่านบทความเรื่อง "Turning Negotiation into a Corporate Capability" เขียนโดย Danny Ertel ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review เมื่อปี 1999 (http://bit.ly/1By9VgW - ถ้าลงทะเบียนแล้วจะอ่านบทความได้ฟรีเดือนละห้าเรื่องนะครับ) ซึ่งในบทความนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ และมีความหมายเกี่ยวกับเรื่องทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมาก

Ertel เล่าถึงการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM สิ่งที่น่าสนใจในการเจรจาครั้งนี้ก็คือทั้งสองบริษัทแบ่งปัจจัยในการเจรจาออกเป็นสองส่วน คือ "ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง" (เช่น ราคา เงื่อนไขการจ้างงาน ความรวดเร็วของการส่งสินค้า) และ "ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์" (เช่น ความเชื่อใจที่มีให้กัน ความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่าย การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ) จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้กำหนดเงื่อนไขในการเจรจาขึ้นมาข้อหนึ่งว่า "ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยในส่วนหนึ่ง จะเอาปัจจัยในอีกส่วนหนึ่งมาแลกไม่ได้เด็ดขาด" ตัวอย่างเช่นถ้าสองบริษัทสื่อสารกันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ(ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์) ก็ห้ามใช้วิธีแก้ไขด้วยการลดราคา(ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง) เพราะจะลดราคาแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารดีขึ้น แต่ในทางกลับกันการลดราคาสามารถนำมาชดเชยการส่งของช้าได้(เป็นปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงทั้งคู่)

ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่สี่เรื่องทางด้านบน เราจะพบว่าสองเรื่องแรกนั้นเป็นปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์(ไม่มีเวลาให้กัน/ไม่มีความเคารพให้กัน) และแม้ว่าจะพยายามนำปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงมาชดเชยมากขนาดไหน(ซื้อของแพงๆให้/ลดราคาสินค้า) ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

ในทางกลับกันเรื่องที่สามและเรื่องที่สี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่มีปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง(บทบาทของพ่อแม่ในชีวิตลูกควรเป้นอย่างไร/จะทำอย่างไรเมื่อรักผู้ชายคนเดียวกัน) และแม้ว่าจะมีปัจจัยด้านความสัมพันธ์ที่ดี(ความรักในครอบครัว/ความเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน) ก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้จะบรรลุข้อตกลงได้

และนั่นก็ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการนำมุมมองที่เราได้จากการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM มาใช้ในชีวิตของเรา นั่นคือเราต้องตระหนักเสมอว่าปัจจัยสองประเภทนี้ต่างกัน และจะนำมาชดเชยกันไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ยั่งยืน(การลดราคาอาจดึงลูกค้าไว้ได้ชั่วคราว/การอ้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอาจดึงลูกให้อยู่ที่บ้านได้ชั่วคราว) แต่สุดท้ายแล้วแผลที่กลัดหนองก็จะต้องปะทุออกมาอยู่ดี

ตัวผมเองนั้นก็ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองหลังจากได้อ่านบทความนี้เช่นกัน ผมมีปัญหาระหองระแหงเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาตลอด และความผิดพลาดของผมก็คือผมใช้ปัจจัยเรื่องข้อตกลงมาชดเชยปัญหาเรื่องความสัมพันธ์อยู่เสมอ อีกเรื่องหนึ่งก็คือผมมีปัญหาเรื่องข้อตกลงบางอย่างกับที่บ้าน และแม้ว่าเราจะรักกันแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าความรักในครอบครัวจะทำให้เราบรรลุข้อตกลงกันได้ หลังจากได้อ่านบทความเรื่องนี้และรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดไป ผมก็คงจะลองกลับไปแก้ปัญหาอย่างถูกต้องดูครับ

สำหรับทุกท่านหลังจากอ่านจบแล้วก็ลองมองย้อนกลับไปในกรณีปัญหาต่างๆในชีวิตของเราดูครับ บางทีที่ผ่านมาเราอาจจะแก้ปัญหาผิดวิธีมาตลอดก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 5 - ตอนสุดท้าย)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO 
อ่านตอนที่สามได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1Kyup16 
อ่านตอนที่สี่ได้นี่ครับ http://bit.ly/1JWbITQ

ในตอนที่แล้วเราพูดถึงการสร้างสถานการณ์ในการเจรจาให้เป็น win-win คราวนี้เราจะมาพูดถึงวิธีหนึ่งในการเพิ่มอำนาจการต่อรองกัน และเป็นวิธีที่หลายๆคนอาจจะคิดไม่ถึง

เราจะทำอย่างไรถึงจะมีสร้างเงื่อนไขเจรจาที่เป็นประโยชน์กับเราได้มากที่สุด? คำตอบแรก(เท่าที่ผมคุยกับหลายๆคน)ก็คือการพยายามหาทางต่อรองให้อีกฝ่ายยอมตามเงื่อนไขที่เราต้องการ ซึ่งก็ไม่ใช่คำตอบที่ผิดครับ แต่เป็นคำตอบที่ทำได้ยากทีเดียว เพราะเมื่ออยู่ระหว่างการเจรจาแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องพยายามหาทางเจรจาให้ได้เงื่อนไขตามที่ตัวเองต้องการเช่นกัน ทั้งเราทั้งเขาก็พยายามจะหาทางให้ได้ประโยชน์จากการเจรจาทั้งคู่ การจะต่อรองให้เหนือกว่าแบบตรงๆนั้นมันไม่ง่ายหรอก

คำตอบที่ถูกต้องกว่า(ซึ่งบ่อยครั้งทำได้ง่ายกว่าด้วย)แต่สร้างผลได้มากเหลือเชื่อคือ “การพัฒนา BATNA ของเรา” (อ่านเรื่องของ BATNA ได้ในตอนที่สาม)

ลองคิดกันดูให้ดีๆ ในการเจรจาแต่ละครั้งนั้นคนที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุดน่าจะเป็นยังไงครับ?

ติ๊กต่อก

คนที่มีอำนาจต่อรองสูงที่สุด ก็คือคนที่สามารถจะเดินออกมาจากการเจรจาได้โดยไม่ต้องแคร์อะไรเลย ผมมีตัวอย่างจะเล่าให้ฟังครับ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเปิดร้านสัปดาห์ละหกวัน แต่ละวันต้องการพนักงานส่งของช่วงเย็นหนึ่งคน มีลูกจ้างรายวันอยู่สองคนที่ทำงานประจำตอนกลางวันและมาทำหน้าที่ส่งของตอนเย็นแบ่งกันคนละสามวัน ลูกจ้างก.มีปัญหาว่ามาสายแทบจะตลอด เพื่อนผมคนนี้มีปัญหากับพฤติกรรมของลูกจ้างก.มาก และแม้จะพยายามเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมาสายมากแค่ไหนก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะลูกจ้างก.ก็รู้ว่าการจะไล่ออกนั้นทำไม่ได้เพราะคนใหม่หายาก ครั้นจะหวังพึ่งลูกจ้างข.คนเดียวก็ไม่ได้อีก ความสนใจหลักของเพื่อนคนนี้จึงอยู่ที่การจะตกลงกับลูกจ้างก.ให้เลิกมาสายให้ได้

สิ่งที่ผมบอกเพื่อนคนนี้ก็คือตอนนี้เจรจากับลูกจ้างก.ไปก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นณ จุดนี้ไม่ต้องไปสนใจลูกจ้างก.มาก แต่ให้เปลี่ยนแนวด้วยการไปคุยกับลูกจ้างข.แทน ให้ลองถามลูกจ้างข.ว่ามาทำงานบ่อยกว่านี้ได้ไหม ถ้าโทรเรียกจะสามารถมาได้เลยมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าลูกจ้างข.ก็มีงานอื่นหรือไม่ก็อยากพักผ่อนบ้าง ดังนั้นจะให้มาตอนเย็นทั้งหกวันไม่ไหว ก็ให้ขอว่าไม่ต้องทำตลอดก็ได้ ขอแค่ให้ภายในเวลาสองสัปดาห์ต่อไปพร้อมจะมาแทนลูกจ้างก.เมื่อไหร่ก็ได้ที่โทรเรียก

และผมบอกต่อไปว่าถ้าลูกจ้างข.ตกลงแล้วว่าให้โทรเรียกตอนเย็นวันไหนก็ได้ ก็ไปบอกลูกจ้างก.ว่าต่อไปวันไหนถ้ามาสาย ก็จะให้กลับไปเลย เมื่อถึงเวลาลูกจ้างก.มาสายแล้วโดนไล่ให้กลับบ้าน แล้วก็ได้เห็นว่าเจ้านายโทรเรียกลูกจ้างข.มาทำแทนได้ทันที คราวนี้แหละลูกจ้างก.จะต้องเต้นผางเลยทีเดียว เพราะเจ้านายไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมาต่อรองกับตัวเองอีกแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือเจ้านายสามารถเดินออกมาจากการเจรจาเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องแคร์เลย

และแน่นอนเราไม่มีความจำเป็นต้องให้ลูกจ้างก.รู้ว่าลูกจ้างข.ทำแบบนี้ได้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น สิ่งที่เราทำคือทำให้ลูกจ้างก.เชื่อว่าเจ้านายไม่มีความจำเป็นใดๆต้องแคร์ แค่นั้นลูกจ้างก.ก็จะต้องยอมแทบจะทุกอย่าง และนี่คืออำนาจในการเจรจาที่ได้เพิ่มขึ้นจากการพัฒนา BATNA ของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องแตะต้องการเจรจาหลักที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยซ้ำ เมื่อเรามี BATNA ที่ดีขึ้นแล้วอำนาจในการเจรจาก็จะเพิ่มขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

การพัฒนา BATNA นั้นทำได้ด้วยหลายวิธี เช่นการพยายามหาตัวเลือกอื่นๆ การสร้างพันธมิตร การพัฒนาขีดความสามารถของตัวเอง ฯลฯ แต่ในจุดนี้ผมอยากจะพูดถึงการสร้างพันธมิตรเพราะดูจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยทำพลาดมากที่สุดในกรณีปัญหาชาวโรฮิงญา

รัฐบาลไทยนั้นทำตัวโดดเดี่ยวและพยายามที่จะเอาตัวรอดจากกรณีปัญหาชาวโรฮิงญาได้ด้วยการไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เมื่อเลือกที่จะเล่นเกมแบบนี้แล้วนั้นผลก็คือ BATNA ของประเทศไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวังแล้วประเทศไทยก็จะต้องถูกบีบคั้นจากทุกฝ่าย และไม่มีใครเป็นพวกเลย สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยควรจะเริ่มทำตั้งแต่ต้นก็คือการสร้างพันธมิตร โดยหาผู้ที่มีความต้องการใกล้เคียงกับตัวเองและทำการตกลงสร้างความเข้าใจกัน เช่นจับมือกับมาเลเซียและอินโดนีเซียตั้งแต่ต้นเพื่อกดดันเมียนมาร์ หรือจับมือกับ UNHCR และ NGO ตั้งแต่ต้นเพื่อเตรียมแผนการดูแลผู้อพยพและผลักแรงกดดันจากนานาชาติให้ไปทางประเทศอื่นแทน เมื่อมีพันธมิตรที่ตกลงกันได้แล้ว BATNA ของเราก็จะดีขึ้นเพราะกรณีที่เจรจาไม่สำเร็จก็ยังมีพันธมิตรคอยช่วยรับแรงกดดันและเฉลี่ยผลกระทบที่เกิดขึ้น และเมื่อนั้นอำนาจการต่อรองในการเจรจาหลักก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่มีความพยายามในการสร้างพันธมิตร และไม่มีความพยายามในการพัฒนา BATNA ของตัวเองด้วยวิถีทางอื่นๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วประเทศไทยจะโดนแรงกดดันจากภายนอกซัดซะจนอ่อนยวบยาบ จนสุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองเข้าสู่เวทีการเจรจาด้วยภาวะจำยอม และต้องยอมรับ BATNA ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คือไม่มีเพื่อน ไม่มีทางเลือก และแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองใดๆเลย

ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับห้าตอนนี้ หวังว่าชุดบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านนะครับ คิดเห็นอะไรก็คุยกันได้เลยครับ

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 4)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3 
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO 
อ่านตอนที่สามได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1Kyup16 

ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึง BATNA, Reservation Price และ ZOPA แต่ผมได้พูดถึงในรูปแบบที่ง่ายหน่อย นั่นคือผมพูดถึงประเด็นเดียวในแง่เงินเดือนเท่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริงเงื่อนไขในการเจรจานั้นมีมากกว่าหนึ่งประเด็นเสมอ และนั่นเป็นหลักการอีกข้อหนึ่งที่สำคัญ

หลักการข้อที่สี่ หาเงื่อนไขและมุมมองในการเจรจาที่สร้างสรรค์เพื่อสร้าง Integrative Negotiation และหลีกเลี่ยง Distributive Negotiation

เรามาเริ่มต้นกันก่อนว่า Distributive Negotiation คืออะไร อีกชื่อหนึ่งของที่เรามักจะรู้จักกันดีกว่าก็คือ zero-sum game นั่นคือเกมที่ผลรวมเป็นศูนย์ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่หากฝ่ายหนึ่งได้อะไรเพิ่ม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเสียเพิ่ม ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถานการณ์การเจรจาเงินเดือนในตอนก่อนเราก็จะเห็นว่าทุกบาทที่เราได้เพิ่มคือหนึ่งบาทที่บริษัทจะต้องเสียเพิ่ม และไม่มีทางออกอื่นใด นี่คือสถานการณ์ที่ผลรวมเป็นศูนย์ (ผลรวมระหว่างลบหนึ่งบาทกับเพิ่มหนึ่งบาทเท่ากับศูนย์)

ในทางกลับกัน Integrative Negotiation ก็คือ non zero-sum game นั่นคือผลรวมไม่เท่ากับศูนย์ และทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะได้ประโยชน์ทั้งคู่ (ที่เรียกกันทั่วไปว่า win-win) แต่ในเมื่อเงินเดือนทุกบาทที่เราได้เพิ่มคือหนึ่งบาทที่บริษัทต้องจ่ายเพิ่ม แล้วจะได้ประโยชน์ทั้งคู่ได้อย่างไร?

Win-win นั้นเกิดขึ้นได้เพราะประเด็นในการเจรจานั้นมีได้หลากหลายเรื่อง และแต่ละฝ่ายให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ลองย้อนกลับไปดูการเจรจาเงินเดือนที่พูดถึงเมื่อตอนก่อนกันอีกที สมมติว่ามีประเด็นในเรื่องของสถานที่ทำงานและการทำงานล่วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างหนึ่งของสถานการณ์การเจรจาอาจเป็นเช่นนี้
  • เรามีความต้องการเงินเดือนสูงเพราะต้องการย้ายไปอยู่ห้องเช่าที่ดีกว่าเดิม
  • บริษัทขาดคนที่สาขาใดสาขาหนึ่งเป็นพิเศษ
  • บริษัทต้องการคนที่จะทำงานล่วงเวลา

ถ้าเราไม่มีปัญหากับการไปทำงานในสาขาที่บริษัทต้องการ และไม่มีปัญหากับการทำงานล่วงเวลา เราก็จะมีโอกาสในการขอเงินเดือนที่สูงขึ้นได้ การเจรจาแบบนี้เป็น integrative negotiation เพราะเราสละสิ่งที่มีความหมายน้อยกว่า (ที่ทำงานและการทำงานล่วงเวลา) แลกกับสิ่งที่มีความหมายมากกว่า (เงินเดือน) ในขณะที่บริษัทสละสิ่งที่มีความหมายน้อยกว่า (เงินเดือน) แลกกับสิ่งที่มีความหมายมากกว่า (แรงงานในสาขาที่ขาดคนและแรงงานล่วงเวลา)

ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นการเจรจามีได้หลากหลายประเด็นเสมอ และกุญแจสำคัญของการสร้างสถานการณ์ที่ win-win ก็คือการเรียนรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกับเรา และสิ่งไหนสำคัญกับอีกฝ่ายหนึ่ง การเจรจาแบบนี้นอกจากจะทำให้แต่ละฝ่ายได้ประโยชน์มากขึ้นแล้วยังช่วยในการเพิ่มความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่มีต่อกันอีกด้วย

ในทางกลับกันแม้ว่าการเจรจาจะมีหลากหลายประเด็น แต่หากผู้เจรจาพยายามจะเอาเสียทุกอย่าง และไม่ยอมสละบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง สถานการณ์ก็จะกลับมาเป็น zero-sum เหมือนเดิม ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่มีให้กันก็จะถดถอย และนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลไทยทำกับปัญหาเรื่องโรฮิงญา รัฐบาลไทยนั้นไม่ได้ใช้ความสร้างสรรค์ในการเจรจาเลย อะไรๆก็บอกแต่ว่าไม่มีที่รับ ไม่มีเงินจ่าย ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าใช้ความสร้างสรรค์สักหน่อยก็น่าจะสามารถสร้างประโยชน์ได้เยอะจากการเจรจานี้ เช่นยอมรับผู้ลี้ภัยเป็นการชั่วคราวโดยแลกกับ
  • เงินสนับสนุนจาก UNHCR
  • ความช่วยเหลือจาก NGO
  • การลดแรงกดดันทางการเมืองจากสหรัฐฯ
  • การยุติมาตรการคว่ำบาตรจากอียู
  • ผลักแรงกดดันไปให้อินโดนีเซียและมาเลเซียต้องยอมรับผู้ลี้ภัยในระยะยาว
  • ผลักแรงกดดันไปให้เมียนมาร์ต้องทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ในประเทศตนเอง
  • ฯลฯ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้การเจรจาเรื่องโรฮิงญาตกอยู่ในสภาวะ zero-sum และเป็นผลให้รัฐบาลไทยต้องสูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากฝ่ายอื่นๆในที่สุด

ครั้งหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 3)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO

ในตอนที่แล้วผมพูดถึงว่ารัฐบาลไทยอาจจะมีความหวังว่าปัญหาโรฮิงญาจะผ่านไปได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมใดๆ ซึ่งผมบอกไว้ว่าเป็นการมองโลกที่ง่ายเกินไป เหตุผลสำคัญที่สุดก็เพราะว่ารัฐบาลไทยประเมินสองสิ่งสำคัญข้างล่างนี้ผิดไปครับ

หลักการข้อที่สาม ศึกษา BATNA และ Reservation Point ทั้งของตนเองและผู้อื่น เพื่อนำมาระบุ ZOPA
เรามาเริ่มต้นกันก่อนว่า BATNA คืออะไร คำเต็มๆก็คือ “Best Alternative to a Negotiated Agreement” หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณ “ตัวเลือกอื่นที่ดีที่สุดถ้าเจรจาไม่สำเร็จ” ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าสมมติเราทำงานอยู่ที่บริษัท ก. และได้เงินเดือนสองหมื่นบาท แต่เราอยากได้เงินเดือนเพิ่มเราจึงไปสมัครงานและเจรจาเงินเดือนกับบริษัท ข. ถ้าเราเจรจาสำเร็จและได้เงินเดือนมากกว่าเดิมเราก็จะย้ายไปทำงานกับบริษัท ข. แต่ถ้าการเจรจากับบริษัท ข. ล้มเหลวเราก็จะทำงานต่อไปที่บริษัท ก. ดังนั้น BATNA  ของเราในกรณีนี้ก็คือการทำงานต่อกับบริษัท ก. และรับเงินเดือนสองหมื่นบาท

การรู้ BATNA นั้นจะช่วยให้เราสามารถกำหนดสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการเจรจา นั่นคือ Reservation Point ซึ่งหมายถึงจุดที่เราจะยอมไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ในตัวอย่างของการเจรจาเงินเดือนข้างต้นนั้นเราเริ่มต้นที่ BATNA แล้วบวกค่าเสียเวลาย้ายงาน ค่าเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและบริษัทเก่า เราอาจจะสรุปว่า Reservation Point ของเราคือเราต้องได้เงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาท ณ จุดนี้เราก็จะเจรจากับบริษัท ข. โดยรู้ตัวว่าถ้าบริษัท ข. ไม่ยอมตกลงที่เงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาทขึ้นไปเราก็จะไม่ตกลง และจะเป็นการดีกว่าถ้าเราจะทำงานที่บริษัท ก. ต่อไป

ความผิดพลาดของรัฐบาลไทยก็คือเข้าใจ BATNA ของตัวเองผิด (หรืออาจจะไม่เคยคิดถึง ฺBATNA เลย) การที่รัฐบาลเอาแต่ปฏิเสธการเจรจาและไม่ให้ความร่วมมือกับใครก็เป็นการฟ้องว่ารัฐบาลเชื่อว่า BATNA ของตัวเองคือประเทศไทยจะรอดตัวไปได้เฉยๆโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แน่นอนว่าถ้าเราคิดดูกันให้ดีแล้วก็จะรู้ว่า BATNA ของประเทศไทยแย่กว่านั้นเยอะ ถ้ารัฐบาลไทยไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาแก้ไขปัญหาโรฮิงญาแล้วการกดดันจากนานาชาติก็จะดำเนินต่อไป ชาวโรฮิงญาก็จะยังลอยคออยู่ในน่านน้ำไทยอยู่ดี และภาพลักษณ์รวมถึงสถานภาพในโลกก็มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ อียูก็มีโอกาสสูงที่จะยุติการซื้อผลผลิตประมงของไทย คนที่เลือกจะเล่นตัวไม่ยอมเจรจาไดมีแค่คนที่รู้ว่า BATNA ของตัวเองดีอยู่แล้วเท่านั้น ถ้า ฺBATNA ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบประเทศไทยแล้วล่ะก็มีแต่ต้องยอมเจรจากันเท่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลไทยดูจะไม่ได้พยายามทำเลยก็คือการเรียนรู้ BATNA และ Reservation Point ของผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไหนจะยอมบอกออกมาตรงๆว่า BATNA และ Reservation Point ของตัวเองคืออะไร เพราะนั่นจะเป็นข้อมูลให้อีกฝ่ายใช้เป็นประโยชน์ได้ ตัวอย่างเช่นถ้าบริษัท ข. รู้ว่าเรายินดีจะรับเงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาท บริษัท ข. ก็คงจะยื่นข้อเสนอสองหมื่นห้าพันบาทให้เราโดยไม่ลังเล และเราก็จะเสียโอกาสในการเรียกเงินเดือนที่สูงกว่านั้น

แต่เมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทาง วิธีพูด ปฏิกิริยาตอบสนอง เราก็จะพอบอกได้ว่า BATNA และ Reservation Point ของอีกฝ่ายอยู่ที่ประมาณไหน และเมื่อเราพอจะรู้ Reservation Point ของอีกฝ่ายแบบคร่าวๆแล้วเราก็จะรู้ ZOPA (Zone of Possible Agreement) ซึ่งก็แปลว่า “โซนที่ตกลงกันได้” ตัวอย่างเช่นถ้าเราดูปฏิกิริยาของบริษัท ข. แล้วกะได้ว่าบริษัท ข. จะไม่ให้เงินเดือนเราเกินกว่าสามหมื่นบาท ZOPA ระหว่างเรากับบริษัท ข. ก็คือระหว่าง 25,000 – 30,000 บาท นั่นคือถ้าตัวเลขเงินเดือนตกอยู่ในช่วงนี้ การเจรจาระหว่างเรากับบริษัท ข. ก็จะบรรลุข้อตกลง และถ้าเราประเมินตรงนี้ได้ดี เราอาจจะเรียกเงินเดือนได้สูงถึงสามหมื่นบาท

แน่นอนว่าประเทศไทยนั้นไม่เคยเริ่มคุยกับใคร ถ้าไม่เคยเริ่มคุยกับใครก็ยากนักที่จะรู้ว่า Reservation Point ของคนอื่นอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้ Reservation Point แล้วก็ไม่รู้ ZOPA และ ณ จุดนั้นการเจรจาก็เป็นไปไม่ได้เลย สรุปแล้วในหัวข้อนี้นั้นรัฐบาลไทยทำผิดถึงสามกระทงด้วยกัน
  • ไม่ประเมิน BATNA และ Reservation Point ของตัวเอง
  • เล่นตัวไม่ยอมเจรจาทั้งที่ BATNA ของตัวเองนั้นต่ำเตี้ยมาก
  • ไม่ประเมิน Reservation Point ของผู้อื่นและไม่ประเมิน ZOPA

ผลของการไม่ยอมประเมิน BATNA ตั้งแต่แรกก็ทำให้รัฐบาลไทยต้องเรียนรู้ BATNA อย่างเจ็บๆเมื่อสถานการณ์บีบคั้นจนต้องรู้สึกตัวว่าไม่มีทางเลือกอื่น

แน่นอนว่าในบางกรณีนั้น Reservation Point ของสองฝ่ายจะคร่อมกัน ซึ่งก็หมายความว่าไม่มี ZOPA ให้ตกลงกันได้ ตัวอย่างเช่นเรายอมรับเงินเดือนต่ำสุดได้รสองหมื่นห้าพันบาทแต่บริษัทยอมจ่ายให้ได้สูงสุดแค่สองหมื่นสามพันบาท เช่นนี้การเจรจาจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าการเจรจาเป็นไปได้หรือไม่ ไม่ใช่ตัดสินไปล่วงหน้าว่าไม่มีวันตกลงกันได้ เมื่อประเทศไทยปฏิเสธท่าเดียว ไม่สนใจจะพูดคุยอะไรกับใครเลย ก็ไม่มีวันที่จะรู้ได้ว่า BATNA และ Reservation Point ของอีกฝ่ายคืออะไร และเมื่อไม่รู้สองอย่างนี้ก็จะไม่มีวันรู้ ZOPA และนั่นก็ปิดประตูของการเจรจา โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าการเจรจาอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 2)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3

มาต่อตอนที่สองกันนะครับ หลักการข้อที่สองคือ รวมผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา

นี่ก็เป็นหลักการอีกข้อหนึ่งที่สำคัญแต่รัฐบาลไทยได้มองข้ามไปอย่างมาก บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องรวมทุกกลุ่มเข้ามาด้วย มันวุ่นวายและเสียเวลา จะตกลงกันให้ได้ก็ยากขึ้นไปกว่าเดิมอีก สู้ตกลงกันระหว่างกลุ่มใหญ่ๆไม่กี่กลุ่มง่ายกว่ากันเยอะ แล้วค่อยให้กลุ่มเล็กๆมาทำตามมติกลุ่มใหญ่อีกที

ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ลองนึกดูว่าถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนได้เสียในประเด็นปัญหาบางอย่าง แต่ตอนที่เขาเจรจากันท่านกลับถูกกีดกันไม่ให้ร่วม แล้วพอเขาเจรจากันเสร็จเขาก็มาบอกให้ท่านทำตามสิ่งที่เขาคิดกันมาแล้ว ท่านจะยินดีทำสิ่งนั้นหรือไม่? และต่อให้ท่านยอมทำ ท่านจะทำเต็มความสามารถหรือไม่? การจะให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขปัญหาและยอมทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นก็มีแต่ต้องให้เกียรติเขาโดยรวมเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา

แต่แน่นอนว่าการรวมทุกฝ่ายเข้ามานั้นไม่ได้หมายความว่าต้องมานั่งพร้อมหน้ากันทุกครั้งเสมอไป การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้กระบวนการเจรจานั้นทำได้ยากเกินไป แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีโอกาสได้ออกความเห็น ได้มีปากเสียงในการกำหนดบทสรุปของการเจรจา อาจจะทำโดยให้กลุ่มใหญ่บางกลุ่มพูดคุยกับกลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่มก่อน แล้วเป็นผู้รวบรวมความเห็นของกลุ่มเล็กๆเหล่านั้นไปนำเสนอในที่ประชุมหลักอีกทีหนึ่งก็ได้

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มด้วย ปล่อยๆบางกลุ่มไปไม่ได้หรือไงกัน? คำตอบก็คือเราควรจะตระหนักไว้เสมอว่าผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายนั้นมีบางอย่างที่ฝ่ายอื่นไม่มี และการที่แต่ละฝ่ายมีส่วนพิเศษในการช่วยเติมเต็มหนทางแก้ปัญหานั้นก็ทำให้ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ลองดูรายละเอียดของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละฝ่ายในปัญหาชาวโรฮิงญาได้ทางด้านล่าง

  • ประเทศทั้งหลายมีที่ดินให้ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยได้
  • United Nations High Commissioner for Refugees (ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) มีเงินสนับสนุน
  • เมียนมาร์เป็นถิ่นเกิดของชาวโรฮิงญา และมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว
  • ไทยมีตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมายของชาวโรฮิงญา และยังใกล้กับเรือที่ลอยอยู่ในทะเลอันดามันมากที่สุดในปัจจุบัน
  • มาเลเซียและอินโดนีเซียมีกลุ่มชนมุสลิมที่พร้อมจะรับชาวโรฮิงญามากกว่าชาวพุทธในไทย
  • อียูมีอำนาจการตัดสินใจคว่ำบาตรประเทศไทยหรือถอนประเทศไทยจากกลุ่มเสี่ยงในการคว่ำบาตร
  • สหรัฐฯมีฐานอำนาจในการเมืองโลก และประเทศที่ได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯจะมีตำแหน่งที่มั่นคงขึ้นในเวทีโลก
  • NGO ทั้งหลายมีความรู้ ประสบการณ์ บุคลากร และเครือข่าย
  • แม้แต่ชาวโรฮิงญาเองก็มีความสำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยอมรับในระยะยาว

จะเห็นว่าไม่ได้มีฝ่ายไหนเลยที่ไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์นี้ ดังนั้นการที่จะได้ทางออกที่ดีที่สุดย่อมเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างทุกฝ่าย เมื่อใดที่ฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งถูกกีดกันออกไปฝ่ายนั้นก็มีแนวโน้มสูงขึ้นว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้ปัญหามีแต่แย่ลง แต่ในทางกลับกันถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันได้ก็จะได้ประโยชน์กันทั้งหมด กุญแจสำคัญอยู่ที่การเริ่มต้นโดย “วางการเจรจาให้อยู่ในรูปแบบของการแก้ไขปัญหาร่วมกัน” และตามด้วย “รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา”

และในหลักการข้อที่สองนี้รัฐบาลไทยก็ทำผิดพลาดไปอย่างยิ่งเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยไม่เคยรวมใครเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจาเลย มีแต่จะผลักทุกคนออกไป และแยกตัวเองออกมาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ทุกครั้งที่รัฐบาลไทยผลักไสไล่ส่งคนอื่นออกไปก็มีแต่จะทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้น
  • ยิ่งผลักปัญหาให้เมียนมาร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็ยิ่งลดโอกาสในการที่ประเทศเหล่านี้จะให้ความร่วมมือ และยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ในภูมิภาคแย่ลงไปกว่าเดิม
  • ยิ่งกีดกันอียู ก็ยิ่งเสี่ยงจะโดนคว่ำบาตรมากขึ้น
  • ยิ่งผลักไส UNHCR ก็ยิ่งจะทำให้เงินสนับสนุนไหลออกไปประเทศอื่น
  • ยิ่งต่อว่าสหรัฐฯ ก็ยิ่งจะทำให้ตำแหน่งของประเทศในเวทีโลกลดต่ำลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งขัด NGO ก็ยิ่งทำให้ความช่วยเหลือมีน้อยลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งกนด่าชาวโรฮิงญา ก็ยิ่งจะเสริมความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันให้สูงขึ้น

รัฐบาลไทยอาจจะทำเช่นนี้เพราะหวังว่าปัญหาต่างๆจะผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ต้องเปลืองตัว จึงเลือกที่จะแยกตัวเองออกมาและผลักไสผู้อื่นออกไป แต่มันดูจะเป็นการมองโลกที่ง่ายเกินไป และนี่เป็นความผิดพลาดข้อที่สามซึ่งเราจะมาคุยต่อในตอนหน้ากัน

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 1)

ผมมีโอกาสได้เรียนวิชาการเจรจามาครับ และผมไม่ได้คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นสุดยอดนักเจรจาแต่อย่างใด เพียงแค่ผมคิดว่ามีหลักข้อคิดหลายๆอย่างเกี่ยวกับการเจรจาที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการเอามาเล่าสู่กันฟัง แต่จะเล่าให้ฟังเฉยๆมันก็ออกจะน่าเบื่อ ต้องมีกรณีศึกษามาเป็นบริบทในการพูดคุยบ้างจะช่วยให้การเล่าทั้งสนุกและไหลลื่นมากขึ้น แต่กรณีศึกษาอะไรที่จะเอามาเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาได้?

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างประจวบเหมาะก็คือกรณีผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเหมาะสมจะเอามาใช้ประกอบการเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาอย่างยิ่งเพราะมีส่วนประกอบต่างๆอันสำคัญต่อการเจรจาที่รัฐบาลไทยทำพลาดไปหลายจุดมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังกันเยอะแล้วทำให้ไม่ต้องเล่ารายละเอียดมาก

ผมจะขอเริ่มต้นตรงจุดที่ชาวโรฮิงญาขึ้นเรือมาจากรัฐยะไข่ในประเทศเมียนมาร์ และต้องมาถูกทิ้งให้ลอยคออยู่บนเรือกลางทะเลอันดามัน ในขณะเดียวกันนานาประเทศรวมทั้งสหประชาชาติก็มีการเรียกร้องให้ประเทศเมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียร่วมกันหาทางออก

หลักการข้อที่หนึ่ง วางการเจรจาให้เป็นการแก้ปัญหาร่วมกัน
ในภาษาไทยนั้นมีชุดคำที่ความหมายคล้ายคลึงกันอยู่ชุดหนึ่ง นั่นคือ การโต้เถียง การต่อรอง การเจรจา การแก้ปัญหาร่วมกัน ทั้งสี่คำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกันในแง่ที่ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และมีกลุ่มบุคคลอย่างน้อยสองกลุ่มกำลังพยายามจะคลี่คลายปัญหานั้น โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็เสียประโยชน์ให้น้อยที่สุด แต่แม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันสี่คำนี้ก็มีส่วนที่แตกต่างกันในแง่ของระดับความสร้างสรรค์ในการคลี่คลายปัญหา อารมณ์ที่ใส่เข้าไป และความเชื่อถือที่มีให้กัน

ถ้าเราใช้คำว่าการโต้เถียงนั้นเราก็จะเห็นภาพบุคคลหรือกลุ่มบุคคลระเบิดอารมณ์เข้าใส่กัน ไม่มีใครคิดอะไรออกนอกจากการเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่มีความเชื่อถือใดๆให้กัน ซึ่งนี่เป็นรูปแบบที่แย่ที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ผลที่ได้ออกมานั้นบ่อยครั้งจะเป็นการแตกหัก และเสียโอกาสกันทั้งคู่

เมื่อเราค่อยๆขยับห่างจากคำว่าโต้เถียงออกมาระดับของอารมณ์ที่ใส่เข้าไปในการคลี่คลายปัญหานั้นก็จะค่อยๆน้อยลงไป ความต้องการเอาชนะก็จะค่อยๆน้อยลงไปด้วย แต่ความเชื่อถือที่มีให้กันจะเพิ่มขึ้น เมื่อเรามาจนถึงอีกขั้วหนึ่งคือ “การแก้ปัญหาร่วมกัน” แล้วล่ะก็ ภาพที่เราเห็นก็จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อถือให้กันและกันซึ่งพยายามจะหาทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่ได้นำอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งนี่เป็นแนวทางที่ให้ประโยชน์สูงสุด และสร้างโอกาสในการคลี่คลายปัญหาได้มากที่สุด

เราจะเห็นว่าในปัญหาเรื่องโรฮิงญานั้นรัฐบาลไทยไม่เคยมีท่าที่ที่จะขยับไปใกล้การแก้ปัญหาร่วมกันเลย จริงๆแล้วอย่าว่าแต่จะไปให้ถึงการแก้ปัญหาร่วมกันเลย รัฐบาลไทยไม่เคยขยับออกจากการโต้เถียงด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำมีแต่การแย้งว่าทำไมผู้อื่นเป็นฝ่ายผิด และไม่เคยมีท่าทีของความเป็นมิตรหรือท่าทีในการให้ความเคารพกับผู้อื่นเลย แค่ข้อแรกก็ตกแล้ว จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ผลลัพธ์ของเรื่องโรฮิงญาคือรัฐบาลและประเทศนั้นต้องเจ็บหนักมาก เสียหายทั้งภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และตำแหน่งในเวทีโลก

บางคนอาจจะบอกว่าก็เราไม่ผิด ไม่เห็นจำเป็นต้องสน ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ใครจะไม่ชอบเราก็เรื่องของเขา สำหรับผู้ที่คิดอย่างนี้ผมก็ขออวยพรให้คุณโชคดีนะครับ เพราะการที่คุณจะเติบโตในชีวิตได้ด้วยแนวคิดแบบนี้นั้นคุณคงต้องการโชคเอามากๆเลยล่ะ แนวคิด "แตกเป็นแตก หักเป็นหัก" นั้นอาจจะ “ถูกใจ” แต่ยากเหลือเกินที่จะ “ถูกต้อง”

แค่ข้อแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ข้อต่อๆไปเอาไว้โพสต์หน้าแล้วกันนะครับ

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นศ.ดาวดิน "ไม่ถูกต้อง" หรือ "ไม่ถูกใจ"?

อ่านเนื้อหาได้ที่นี่ครับ http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=17415474.0

ประเด็นสำคัญก็คือวิธีแสดงออกของเค้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ "ไม่ถูกต้อง"

มันมีความแตกต่างอยู่เยอะระหว่าง "ไม่ถูกต้อง" กับ "ไม่ถูกใจ" อันแรกนั้นว่ากันไปตามกฎระเบียบ หลักคิด ข้อปฏิบัติ ในขณะที่อันหลังนั้นว่ากันไปตามความเห็นส่วนบุคคล และถ้ารัฐบาลจะบอกว่าประเทศเป็นประชาธิปไตย ถ้าจะบอกว่าผู้คนสามารถแสดงความเห็นได้ ก็คงต้องยอมให้นักศึกษากลุ่มนี้แสดงออกได้ได้แม้ว่าการแสดงออกนั้นจะ "ไม่ถูกใจ" ตราบใดที่ยังไม่เข้าข่าย "ไม่ถูกต้อง"

ตัวอย่างที่น่าจะแสดงความแตกต่างของสองสิ่งนี้ให้เห็นได้ชัดก็คือภาควิชาวิสัญญีวิทยาที่คณะแพทย์มข.นั้นมีข้อปฏิบัติในองค์กรว่า "บุคลากรสามารถใช้สิทธิการลาพักร้อนของตัวเองได้ตามระเบียบที่กำหนดไว้" ที่ภาควิชานั้นบุคลากรทุกคนสามารถจะเขียนใบขออนุญาตลาพักร้อนวันไหน เมื่อไหร่ก็ได้ และตราบใดที่ยังมีวันลาเหลือตามระเบียบ เราก็จะอนุญาตให้ลาได้โดยไม่มีเงื่อนไข ทุกคนมีสิทธินี้ อาจารย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และแม้แต่แพทย์ประจำบ้านก็ได้สิทธินี้ด้วยเช่นกัน

อยู่มาวันหนึ่งเป็นช่วงใกล้วันหยุดยาว มีคนใช้สิทธิลาพักร้อนกันเยอะมาก ทั้งพยาบาล พจบ. และอาจารย์หลายคนลาหยุดจนอัตรากำลังตึงสุดๆ คนที่ทำงานในวันนั้นเหนื่อยมาก หลังเลิกงานมีเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งบอกกับผมว่า "ทำอย่างนี้ไม่ได้นะเนี่ย ให้ลากันตามใจมากเกินไป"

ซึ่งผมตอบไปว่านี่เป็นข้อปฏิบัติของภาควิชา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะ "ไม่ถูกใจ" แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ "ไม่ถูกต้อง" ดังนั้นเราต้องอนุญาตให้เขาทำได้

สังคมไทยนั้นมีปัญหาเรื่องความสับสนระหว่างสองอย่างนี้มาเป็นเวลานานมาก ผู้คนจำนวนมากเอาความเห็นของตัวเองมาอยู่เหนือกฎระเบียบ หลักคิด และข้อปฏิบัติ และคิดไปว่าถ้าเป็นสิ่งที่ตน "ไม่ถูกใจ" สิ่งนั้นก็ "ไม่ถูกต้อง" ไปด้วย

ผมมั่นใจว่าใครๆก็ต้องเคยมีปัญหาในที่ทำงานเพราะถูกหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานเขม่นเนื่องจากสิ่งที่เราทำนั้น "ไม่ถูกใจ" แม้ว่าจริงๆแล้วสิ่งนั้นจะไม่ใช่อะไรที่ "ไม่ถูกต้อง" ถ้าท่านคิดว่าหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานของท่านไม่ควรจะทำอย่างนั้นแล้วล่ะก็ รัฐบาลก็ไม่ควรจับกุมนักศึกษากลุ่มนี้เช่นกัน สิ่งที่เขาทำนั้นอาจจะ "ไม่ถูกใจ" แต่การจะจับกุมและลงโทษพวกเขานั้นควรจะกระทำก็ต่อเมื่อมัน "ไม่ถูกต้อง" และถ้าจะอิงตามกฎหมายบ้านเมือง และอิงตามที่รัฐบาลออกมาประกาศอยู่บ่อยๆว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ผู้คนสามารถแสดงออกโดยสันติได้ สิ่งที่นักศึกษากลุ่มนี้ทำนั้นก็ไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่ "ไม่ถูกต้อง"

สังคมไทยควรจะต้องแยกแยะระหว่างสองอย่างนี้ให้ดี และควรจะต้องแยกแยะวิธีการตอบสนองให้เหมาะสมด้วย เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือประเทศชาติและสังคมส่วนรวมนั้นควรจะต้องดำเนินไปด้วยหลักการ แนวคิด และข้อปฏิบัติ ไม่ใช่ความเห็นส่วนบุคคล หากเราปล่อยให้ประเทศชาติดำเนินไปตามความเห็นส่วนบุคคลหรือความเห็นของคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเราก็จะไม่มีหลักใดๆให้ยึดจับ และคงไม่แคล้วจะต้องเจอเหตุการณ์แบบช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งเราได้เห็นคนหลากหลายกลุ่มซึ่งล้วนแต่ออกมาทำสิ่งที่ตัวเอง "ถูกใจ" แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่ใช่สิ่งที่ "ถูกต้อง"

แล้วเราก็คงจะพายเรือวนอยู่ในอ่างต่อๆไปเรื่อยๆ ไม่ได้ไปไหนกันสักที

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านข่าวโรฮิงญา แล้วมันก็นึกถึงอากงขึ้นมา

บางคนอาจจะสงสัยว่าไอ้คนช่างจ้อ ช่างออกความเห็นอย่างผมเนี่ย ทำไมถึงเงียบนักเรื่องโรฮิงญา

คำตอบก็คือไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ ภาวะแบบนี้มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทางออกที่ดีอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ทางออกที่ทำได้มีแค่แย่ กับแย่กว่า (ทำไมมันแย่ขนาดนั้น อ่านรายละเอียดได้ในโพสต์ที่แชร์ไว้ข้างท้ายครับ) แต่กรณีปัญหาของโรฮิงญานี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่แตกต่าง นันคือเรื่องอากงของผมเอง ซึ่งก็เป็นตัวแทนของเรื่องราวผู้อพยพที่ไปได้ดิบได้ดีในประเทศใหม่อีกทอดหนึ่ง

อากงมาจากเกาะไหหลำ เท่าที่จำได้จากที่อากงและญาติผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังคืออากงขึ้นเรือมาเมืองไทยตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น มาตั้งแต่ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พอมาถึงเมืองไทยก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาไทยจนอ่านออกเขียนได้ และทำงานทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่บ่น เป็นกระเป๋ารถเมล์ ขายของ ฯลฯ อากงเก็บเงินจนสามารถตั้งธุรกิจเล็กๆของตัวเองได้ และที่สำคัญเงินที่จ่ายออกไปนั้นอันดับหนึ่งอยู่ที่การศึกษาของลูกหลาน อากงกับอาเน่มีลูกสี่คน ลุง ป๊า และอาผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสี่คนอยู่ในรุ่นอายุประมาณห้าสิบปลายๆถึงหกสิบต้นๆ แต่ในสมัยนั้นอากงสามารถดันให้ทั้งสี่จบปริญญาตรีที่จุฬาฯทุกคน และภายหลังในชีวิตก็จบปริญญาโททุกคนอีกด้วย สำหรับคนในกลุ่มอายุนั้นแค่จบมหาวิทยาลัยก็เจอได้ไม่บ่อยแล้ว แต่การที่พี่น้องจบจุฬาฯและต่อไปจนจบป.โทได้ทุกคนนั้นน้อยซะยิ่งกว่าน้อย และภายในรุ่นเดียวจากผู้อพยพที่มาแบบมือเปล่าเท้าเปล่าก็เติบโตขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางที่อยู่ในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เส้นทางชีวิตแบบนี้เราก็จะเห็นเป็นตัวอย่างได้อยู่เรื่อยๆ ในประเทศไทยกลุ่มผู้อพยพที่มีชีวิตแบบนี้มักจะเป็นคนเชื้อสายจีน แต่ถ้ามองในระดับโลกแล้วก็มีคนหลากหลายเชื้อสายที่อพยพย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศบ้านเกิดของตัวเองแล้วไปสร้างชีวิตใหม่ที่คนท้องถิ่นจำนวนมากต้องอิจฉา คนจีน เกาหลี และญี่ปุ่นที่ไปเติบโตในอเมริกามีจำนวนมาก คนอินเดียในอังกฤษ หรือแม้กระทั่งคนไทยเองที่ไปทำงานจนเติบโตอยู่ที่ต่างประเทศ

แต่ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือผู้อพยพชาวโรฮิงญานั้นไม่ได้มีแนวโน้มที่จะดำเนินชีวิตตามรูปแบบนี้

ผมเองไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ข้อมูลจากหลายๆแหล่งก็พูดตรงกันว่าชาวโรฮิงญาที่อพยพเข้าไปในประเทศใหม่แล้วมักจะไม่มีความพยายามในการตั้งใจทำมาหากิน กลับกันพวกเขามักจะคอยเรียกร้องสิ่งนู้นสิ่งนี้อยู่เสมอ และเหมือนจะคิดกันว่าพวกเขาเองต้องมีสิทธิได้รับสิ่งต่างๆจากสังคม ความเชื่อทางศาสนาเองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา ตามแนวคิดแบบดั้งเดิมที่ชาวโรฮิงญายึดถือนั้นการคุมกำเนิดจะทำไม่ได้เลย (ผมมีเพื่อนชาวอิสลามในประเทศไทยหลายคนที่ปรับแนวคิดดั้งเดิมนี้ให้เป็น "ไม่คุมกำเนิดถาวร" ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับชีวิตในสังคมปัจจุบัน) ไม่ใช่แค่นั้นชาวโรฮิงญายังมีความเชื่อว่าต้องมีลูกหลานให้มากที่สุด จนการมีลูกนั้นบ่อยครั้งจะเป็น "มีเพื่อให้ได้มี" แต่ไม่ได้คิดกันล่วงหน้าว่าควรจะมีลูกกี่คน มีไปทำไม มีแล้วดูแลได้แค่ไหน

ผู้อพยพชาวโรฮิงญาจึงเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่มีใครอยากรับ เพราะรับมาแล้วก็จะต้องเจอกับสถานการณ์ตรงกันข้ามกับกลุ่มผู้อพยพข้างบน กลุ่มข้างบนนั้นยิ่งรับยิ่งดี เพราะไม่เคยเรียกร้องอะไรจากทางการ มีแต่จะขยันทำงานทำตัวเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม แต่ชาวโรฮิงญายิ่งรับยิ่งกลุ้ม เพราะเรียกร้องเอาแทบจะทุกอย่าง และไม่ได้มีความพยายามในการหาเลี้ยงตัวเอง อีกทั้งยังขยันผลิตลูก ซึ่งเมื่อโตขึ้นมาแล้วก็รับเอาแนวคิดแบบเดียวกันต่อมาจากพ่อแม่

สุดท้ายแล้วผมเองก็ยังไม่มีคำตอบว่าวิกฤติทางมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้นนั้นควรจะแก้ไขอย่างไร แต่ถ้าเราจะหาคำตอบของเรื่องนี้ผ่านประวัติศาสตร์ของผู้อพยพที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าคำตอบที่เราจะได้คือ แม้ผู้ด้อยโอกาสในสังคมจะสมควรได้รับการหยิบยื่นโอกาสและความช่วยเหลือให้ แต่การพึ่งพิงความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นไม่เคยช่วยให้ใครหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ และหนทางในการเติบโตอย่างยั่งยืนนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยมือของตัวเองเท่านั้น

โพสต์เกี่ยวกับโรฮิงญาที่คิดว่ามีข้อมูลซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์
- https://www.facebook.com/wanchai.roujanavong/posts/991205187558375
- https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1655166524704381:0

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

"แพทย์ที่เก่งที่สุด" ... มันหมายถึงอะไรกันล่ะ?

เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้วผมได้เห็นโพสต์จากมิตรสหายท่านหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงบทบรรณาธิการจากวารสาร "คลินิก" ปีที่ 31 ฉบับที่ 4 เดือนเเมษายน 2558 (http://on.fb.me/1A2eqVC) โดยจั่วหัวว่า "แพทย์ที่เก่งที่สุดควรอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน" และถึงแม้ว่าจะได้อ่านมาเป็นเวลาเกือบเดือนเต็มๆแล้ว แต่เนื้อหาในบทบรรณาธิการนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจผมไม่ห่าง

เพราะนิยามของคำว่า "แพทย์ที่เก่ง" ในที่นี้มันช่างแคบซะจนรู้สึกเหมือนโดนบีบคอ

"แพทย์ที่เก่ง" ตามบทบรรณาธิการนี้หมายถึงแพทย์ที่มีความสามารถในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ตัดสินใจได้ฉับไว และรักษาชีวิตผู้ป่วยในสถานการณ์วิกฤติได้ ซึ่งนี่ก็เป็นนิยามเดียวกันกับ "แพทย์ที่เก่ง" ในรูปแบบที่คนทั่วไปคิด(และแม้แต่บุคลากรทางสุขภาพบางส่วนก็อาจจะคิดเหมือนกันด้วย) และเป็นภาพลักษณ์ที่เราเห็นได้ตามหนังหรือละครจำนวนมาก ตัวเอกมักจะเป็นแพทย์ที่มีความสามารถระดับเหนือมนุษย์ วินิจฉัยโรคยากๆได้ สามารถทำการผ่าตัดหรือหัตถการแบบที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ (ER, Team Medical Dragon, Grey's Anatomy, Doctor K ก็มาแนวนี้ทั้งนั้น)

แนวคิดของแพทย์ที่เก่งตามบทบรรณาธิการนี้มันจำกัดมากจนทำให้ผมสงสัยว่ามิติของบริการทางการแพทย์ในยุคปัจจุบันมันตื้นเขินขนาดนั้นเชียวหรือ?

- แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวที่ไม่เชี่ยวชาญในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุขภาพในท้องถิ่นได้อย่างดีเยี่ยม นับเป็นแพทย์ที่เก่งหรือไม่?

- แพทย์โรคหัวใจที่ไม่ได้ทำหัตถการได้ระดับเทพ แต่สามารถโน้มน้าวผู้ป่วยให้ลดละเลิกพฤติกรรมที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพได้ นับเป็นแพทย์ที่เก่งหรือไม่?

- วิสัญญีแพทย์ที่ไม่ถนัดดมยาเคสซับซ้อน แต่จัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศัลยแพทย์ผ่าตัดได้สะดวก ให้บริการผู้ป่วยได้จำนวนมากขึ้น นับเป็นแพทย์ที่เก่งหรือไม่?

- กุมารแพทย์ที่รักษาโรคยากๆไม่ได้ แต่มีความอบอุ่นที่ทำให้เด็กๆยินดีที่จะมาโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ นับเป็นแพทย์ที่เก่งหรือไม่?

- แพทย์โรคผิวหนังที่ CPR ไม่เป็น แต่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคผิวหนังเรื้อรัง รู้สึกดีกับตัวเองและมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น นับเป็นแพทย์ที่เก่งหรือไม่?

และอื่นๆอีกมากมาย

พฤติกรรมเหล่านี้ก็ล้วนแต่สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ป่วยทั้งสิ้น และไม่แน่แพทย์แต่ละคนในทั้งห้าข้อนี้อาจจะสามารถเพิ่ม Quality-Adjusted Life-Year (http://bit.ly/1L2FsND) ได้มากกว่า "แพทย์ที่เก่งที่สุด" ตามบทบรรณาธิการนี้ซะด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะพูดถึงคำว่า "แพทย์ที่เก่ง" ไปเพื่ออะไร?

ถ้าท่านใดบอกว่าแพทย์ที่เก่งก็ต้องทำได้ทั้งหมดตามข้างบนสิ ผมขออนุญาตแนะนำว่าท่านควรไปหาความสุขจากการอ่านเทรุ หัตถ์เทวดานะครับ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงคงไม่สามารถทำให้ท่านพอใจได้ โลกยุคปัจจุบันนี้คือสังคม "พหุปัญญา" ซึ่งมองโลกด้วยความเชื่อพื้นฐานว่ามนุษย์มีความสามารถแตกต่างกันไป และวิธีในการปิดช่องโหว่ที่แต่ละคนมีก็คือการใช้จุดแข็งของแต่ละคนเข้ามาเสริมซึ่งกันและกัน แนวคิดทำนองว่าต้องมีคนประเภท "เก่งที่สุด" นั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว

ในสังคมพหุปัญญาที่แท้จริงนั้นไม่มีใครเค้ามาเสียเวลาคิดเรื่องใครเก่งหรอกครับ แต่เค้าจะมองกันว่า "ความถนัด" ของคุณคืออะไร และทำการสร้าง "ทีม" ที่ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งความถนัดตอบโจทย์ของปัญหาที่เจอ โดยไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะกล่าวถึงคำว่า "เก่งที่สุด"

"แพทย์ที่วินิจฉัยและให้การรักษาภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วควรจะอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน" เปลี่ยนใหม่เป็นอย่างนี้จะเหมาะสมกว่ากันเยอะนะครับ

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรฮิงญา หรือ โรฮีนจา? และความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น

วันนี้ผมได้ดูรายการ Wake Up Thailand (http://shows.voicetv.co.th/wakeup-thailand/203991.html) แล้วรู้สึกว่ามีเรื่องน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังครับ

(**นอกเรื่องนิดหน่อย** ผมคิดว่ารายการ Wake Up Thailand นี่เป็นรายการข่าวที่ดีที่สุดที่เคยดูมาแล้วนะ เรื่องที่เลือกมาเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เคยมีข่าวหรือเนื้อหาไร้สาระ ไม่เคยมีคำพูดด่าทอสร้างความเกลียดชัง มีมุมมองที่แตกต่างแบบที่กระทั่งผู้ดำเนินรายการสามคนก็ยังเถียงกันออกจออยู่บ่อยๆ ถ้าวันๆหนึ่งมีเวลาดูข่าวแค่รายการเดียวนี่ผมแนะนำเลยนะว่าให้ดูรายการนี้ **จบส่วนนอกเรื่อง**)

เรื่องน่าสนใจในรายการก็คือมีประเด็นว่าประเทศเมียนมาร์ (ประเทศเค้าไม่ได้ชื่อพม่าแล้วนะครับ และแม้ว่าเราจะยังติดปากเรียกว่าพม่า มันก็มีเหตุผลที่ดีที่จะเรียกเขาว่าเมียนมาร์ อ่านเหตุผลได้ข้างล่าง) มีความพยายามที่จะเปลี่ยนการสะกดชื่อสิ่งต่างๆ จากเดิมที่สะกดแบบที่คนอังกฤษเรียกในยุคอาณานิคม ก็เปลี่ยนมาสะกดตามวิธีการออกเสียงในภาษาพม่าแทน (ประเทศเมียนมาร์ แต่ภาษายังเป็นภาษาพม่านะครับ รายละเอียดอยู่ข้างล่าง)

ซึ่งคำว่าโรฮิงญานั้นเป็นการถอดเสียงออกมาจากการสะกดในภาษาอังกฤษ ส่วนคำว่าโรฮีนจานั้นเป็นการถอดเสียงออกมาจากการสะกดในภาษาพม่า ซึ่งราชบัณฑิตนั้นเป็นผู้ระบุว่าต้องใช้คำว่าโรฮีนจาถึงจะถูกต้อง ปัญหาของราชบัณฑิตฯอย่างหนึ่งก็คือเชื่อมั่นในแนวคิดของ "ภาษาที่ถูกต้อง" (Prescriptivism/Linguistic Prescription) ซึ่งเป็นแนวคิดว่ามีภาษาที่ถูกต้องเพียงรูปแบบเดียว เราจะสังเกตว่าพฤติกรรมของราชบัณฑิตฯคือการออกมาบอกอยู่ตลอดเวลาว่าคำนั้นใช้ผิดความหมาย คำนู้นไม่มีในพจนานุกรม ไม่บันทึกศัพท์สแลงใหม่ๆลงในพจนานุกรม ฯลฯ คือประมาณว่าภาษาไทยมีรูปแบบที่ถูกต้องอยู่รูปแบบหนุึ่ง และรูปแบบนั้นจะถูกกำหนดได้โดยราชบัณฑิตฯเท่านั้น

อีกแนวคิดหนึ่งของการใช้ภาษาก็คือแนวคิดของ "ภาษาที่ใช้จริง" (Descriptivism/Linguistic Description) ซึ่งไม่ได้คิดว่าภาษาต้องมีรูปแบบที่ตายตัวรูปแบบเดียว และตราบใดที่ผู้ใช้ภาษาเข้าใจกันได้มันก็ไม่มีปัญหาใดๆ เราจะเจอแนวคิดแบบนี้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษเช่นการที่ Oxford English Dictionary เพิ่มคำนำหน้าชื่อ "Mx" เข้าไปในพจนานุกรม (http://bit.ly/1Jz3OgK เป็นคำนำหน้าชื่อที่ไม่ระบุเพศและไม่ระบุสถานภาพทางการแต่งงาน) ลองจินตนาการดูว่าถ้ากลุ่มคนข้ามเพศในประเทศไทยเสนอคำแบบนี้ขึ้นมาราชบัณฑิตฯน่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ปัญหาสำคัญของ Prescriptivism ก็คือแนวคิดนี้ทำลายวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของภาษา นั่นคือเพื่อช่วยเหลือการสื่อสาร โลกนี้นั้นไม่ได้อยู่นิ่งตลอดเวลา และสภาพสังคมที่เปลี่ยนย่อมจะบังคับให้ภาษาเปลี่ยนตามไปด้วยเพราะรูปแบบภาษาเดิมๆหรือศัพท์เดิมๆไม่ดีพอสำหรับการสื่อสารในบริบทใหม่ ศัพท์สแลง ศัพท์วัยรุ่น ศัพท์อินเตอร์เน็ตทั้งหลายก็เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดจากเหตุผลนี้ เมื่อรูปแบบภาษาและคำศัพท์เดิมๆไม่ดีพอในการสื่อความหมาย มนุษย์ก็สร้างรูปแบบใหม่ๆหรือศัพท์ใหม่ๆ มันก็แค่นั้นเอง ถ้าราชบัณฑิตฯอยากจะยึดอยู่กับรูปแบบภาษาในอดีตก็คงจะไม่มีใครว่า แต่ก็ทำไปคนเดียวเถอะครับ เพราะไม่มีใครเค้าไปบ้าจี้ทำตามหรอก ให้เลือกระหว่างสื่อสารให้รู้เรื่องกับถูกต้องตามราชบัณฑิตฯ คนส่วนใหญ่เค้าต้องเลือกสื่อสารรู้เรื่องอยู่แล้ว และถ้าทำแบบนี้ไปนานๆคนก็จะเลิกดูพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ แล้วไปดูพจนานุเกรียนแทน (มีจริงๆนะครับ http://pojnanukrian.com/)

ส่วนเรื่องจะใช้โรฮิงญาหรือโรฮีนจา ในเมื่อปัจจุบันคนไทยก็รู้จักคำว่าโรฮิงญากันดีแล้ว ดังนั้นก็ใช้ต่อไป จริงๆถ้าเรียกตามเจ้าของภาษาได้ก็ดีนะครับ แต่เราก็ไม่ได้เรียกฝรั่งเศสว่าฝ่องซ์ ไม่ได้เรียกจีนว่าจ๊งกั๋ว อยู่ดีๆจะมาบังคับกันว่าเฉพาะคำนี้เท่านั้นที่ต้องเรียกตามภาษาพม่ามันก็ดูจะตลกๆอยู่ซักหน่อย

-----------------------------------------------------------

วกกับมาเรื่องเมียนมาร์และพม่ากันซักหน่อย คำว่า "พม่า" นั้นเป็นชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาร์ และเป็นกลุ่มแรกที่ชาวอังกฤษเจอในยุคอาณานิคม จึงได้ตั้งชื่อประเทศตามกลุ่มชาติพันธุ์นี้ คำว่า "พม่า" นั้นจึงเป็นคำที่ 1.ถูกบังคับใช้มาจากคนต่างชาติ 2.ไม่รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ จึงได้เกิดการเปลี่ยนชื่อจากประเทศพม่าเป็นประเทศเมียนมาร์แทน เพราะคำว่าเมียนมาร์นั้นหมายถึงพื้นที่ที่ประเทศตั้งอยู่ แต่ภาษาที่ใช้ยังเป็นภาษาพม่านะครับ เพราะเป็นภาษาที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์พม่า

(ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยกลับย้อนทาง เพราะเปลี่ยนชื่อประเทศจากชื่อพื้นที่เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ตามที่ผมพูดถึงไว้คร่าวๆที่โพสต์นี้ http://kidmaipood.blogspot.com/2015/05/blog-post.html)


-----------------------------------------------------------

แก้ไข: มีมิตรสหายท่านหนึ่งมาช่วยชี้ทางสว่างให้ครับว่าราชบัณฑิตฯมีการออกพจนานุกรมศัพท์ใหม่ๆด้วย(ชื่อว่า "พจนานุกรมคำใหม่ เล่มที่...") ดังนั้นประเด็นเรื่องไม่อัพเดทศัพท์ใหม่ก็เป็นอันตกไป แต่อย่างไรเสียกรณีระหว่าง "โรฮิงญา" และ "โรฮีนจา" ก็ยังเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงแนวคิด "Prescriptivism" และ "Descriptivism" อยู่เหมือนเดิม

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Project Management Triangle - ถูก เร็ว ดี เลือกได้แค่สองอย่าง

ช่วงนี้เห็นมีหลายๆคนยกเรื่อง "ถูก เร็ว ดี เลือกได้แค่สองอย่าง" มาคุยกันเยอะ หลายคนก็ทำภาพมาประกอบให้ดูง่ายขึ้นด้วยเช่นที่เพจบันทึกหมอโหด (http://on.fb.me/1EXl12l) ก็เลยอยากจะเอามาเล่าให้กันฟังเพิ่มเติมซะหน่อย

แนวคิดนี้เรียกว่า Project Management Triangle หรือ Triple Constraint ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานเรื่องการจัดการโครงการ ข้อความหลักที่เจ้าสามเหลี่ยมนี้ต้องการจะสื่อก็คือคุณไม่มีวันได้ทั้งสามอย่างพร้อมกัน คุณจะได้เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น (ถ้าไม่ต้องการให้เกิดผลเสียอย่างอื่นขึ้นมาแทน เช่นทำร้ายความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ดูตัวอย่างได้ข้างล่าง)

ถ้าถูกและดี มันก็จะไม่เร็ว
ถ้าดีและเร็ว มันก็จะไม่ถูก
ถ้าเร็วและถูก มันก็จะไม่ดี

ก่อนที่จะไปต่อผมอยากจะบอกไว้สักหน่อยว่าแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นกฎตายตัวนะครับ เพราะยังมีบางคนที่เสนอว่ามันมีสี่ปัจจัย(http://bit.ly/1Kuw44q) หรือกระทั่งหกปัจจัย(http://bit.ly/1QwjWE7) แต่อันที่มีสามปัจจัยนี้เป็นพื้นฐานครับ

ในมุมมองที่เรื่องนี้ถูกยกมาพูดถึงกันเต็ม social media กันอยู่ทุกวันนี้มันออกจะเป็นเชิงลบอยู่สักหน่อย ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นการเอามาใช้เพื่อปรามคนอื่นว่า "อย่าบ่นเวลาได้แค่สองในสามอย่าง" (ที่เจอว่าเอามาพูดถึงกันเยอะคือการบริการในโรงพยาบาลรัฐบาล ซึ่งถือว่าถูกและดี แต่ใช้เวลานานมาก) ซึ่งจริงๆการจะเอามาใช้ในมุมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่วันนี้จะขอเล่าเรื่องนี้ในเชิงบวกกว่านั้นสักหน่อย เราจะย้อนมาดูจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้กัน

ตามที่ชื่อมันบอก "Project Management" ก็มีประโยชน์เอาไว้เพื่อวางแผนการจัดการโครงการ นั่นคือมันไม่ได้มีไว้สื่อว่าโลกนี้สิ้นหวังแล้ว แต่มีไว้สื่อว่าถ้าจะทำโครงการอะไรก็คิดดูให้ดีก่อนว่าเรื่องไหนสำคัญ เพราะแต่ละโครงการนั้นมีวัตถุประสงค์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็แน่นอนว่าสามปัจจัยนี้จะมีความสำคัญไม่เท่ากัน บางงานอาจะต้องการเร็วและดีก็ต้องทุ่มทุนกันนิดนึง บางงานอาจจะไม่ต้องดีมากเพราะความต้องการต่ำก็สามารถจะประหยัดงบไปพร้อมๆกับทำได้เร็ว ฯลฯ แนวคิดนี้จึงไว้คอยเตือนสติเราให้คิดอยู่เสมอว่าเราต้องการอะไรแน่ และอะไรที่เรายอมเสียได้

ซึ่งปัญหาการจะเอาทุกอย่างและไม่พิจารณาว่าสิ่งที่สำคัญคืออะไรนั้นก็ดูจะเจอได้บ่อยในงานราชการ (แต่อาจจะเป็นความรู้สึกไปเองเพราะตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในงานราชการ บางทีในภาคเอกชนอาจจะเจอเยอะไม่แพ้กันก็ได้) เราจะเจออยู่บ่อยๆที่หัวหน้าสั่งงานมา จะเอาให้ได้เร็วๆและดีๆ แต่ไม่เคยให้งบประมาณมา หรือให้มาก็จิ๊บจ๊อยมากจนไม่มีทางพอใช้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเผาเครื่องลูกน้องของตัวเอง และความสุขในหน่วยงานที่น้อยลงๆไปทุกวัน จนสุดท้ายคนดีมีความสามารถก็ค่อยๆหายไป หากหน่วยงานต่างๆเอาแนวคิดนี้เข้าไปใช้พิจารณาโครงการของตัวเองอยู่เสมอ รู้ข้อจำกัดของตัวเอง และเลือกว่าสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคืออะไร เราก็คงจะไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ความช้ำใจอีกอย่างของระบบราชการไทยคือมักจะไม่ค่อยมีงบประมาณไปลงให้กับการพัฒนาโครงการ (ประมาณสี่ในห้าส่วนจะไปลงกับรายจ่ายประจำ http://bit.ly/1F5Crvg) ดังนั้นถ้าเริ่มต้นว่าไม่มีงบแล้ว ก็เท่ากับงานราชการไทยมักจะเลือกได้อีกแค่อย่างเดียวคือจะเอาดีหรือจะเอาเร็ว สิ่งที่น่าคิดตรงนี้ก็คือผู้ที่ทำงานราชการทั้งหลายเมื่อรู้ถึงข้อจำกัดตรงนี้แล้วก็จงวางแผนงานและโครงการไว้แต่เนิ่นๆ ให้มีเวลาเตรียมตัวกันยาวๆ มิฉะนั้นคุณก็จะต้องทำงานออกไปแบบไม่ดี

ภูมิปัญญาอีกอย่างหนึ่งที่มาจากแนวคิดนี้คือโดยธรรมชาติแล้วถ้าไม่สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆก็ไม่มีใครต้องการของไม่ดี ดังนั้นสุดท้ายแล้วในชีวิตประจำวันเราก็โดนบังคับกลายๆว่าเลือกได้อีกอย่างเดียวระหว่างถูกและเร็ว แต่ถ้าเราตระหนักถึงแนวคิดนี้อยู่เสมอเราก็น่าจะวางแผนและตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ดีขึ้นครับ

และประโยชน์ข้อสุดท้ายก็คือเอาไว้ประเมินงานของตัวเองครับ มาตรฐานของโลกนี้คือต้องได้สองอย่าง ถ้าคุณทำได้อย่างเดียวในสามอย่าง (เช่นทำได้แค่ถูก แต่ทั้งไม่ดีและไม่เร็ว) นั้นเท่ากับคุณมีปัญหาใหญ่แล้วล่ะครับ และคงต้องรีบหาวิธีปรับปรุงงานของตัวเองอย่างเร่งด่วน

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Broken Windows Theory กับกฎจราจรในเมืองไทย

ช่วงนี้ประเด็นเรื่องการกวดขันและลงโทษการฝ่าฝืนทางจราจรเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม เหตุก็เนื่องมาจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่จักรยานหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและครอบครัวด้วย และเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกก็จะขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเหตุผลว่าทำไมการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มงวดถึงเป็นเรื่องสำคัญ และอาจจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่มักจะถือกันว่ารุนแรงกว่าอย่างเช่นการฆาตรกรรมด้วยซ้ำไป ซึ่งทฤษฎีที่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็คือทฤษฎีที่เรียกว่า Broken Windows Theory

ใจความสำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือแนวคิดที่ระบุว่าอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นจากความรู้สึกและบรรยากาศว่ากฎระเบียบไม่ได้ถูกกวดขัน โดยความรู้สึกและบรรยากาศว่ากฎระเบียบไม่ได้ถูกกวดขันนั้นก็เกิดขึ้นจากการที่มีความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยที่เห็นได้ชัดในสังคม แม้ว่าความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นจะดูเล็กน้อยมากอย่างเช่นการที่มีเด็กแว้นซักคนนึงมาทุบกระจกหน้าต่างแตกแล้วหลบหนีไป สิ่งนี้เป็นเพราะความไม่เป็นระเบียบเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะสร้างบรรยากาศและความเชื่อว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" (ซึ่งผมเคยเขียนเอาไว้แล้วถึงเรื่องนี้ว่าความเขื่อว่า "ทำผิดแล้วถูกจับแน่" เป็นสิ่งที่หยุดการก่ออาชญากรรมได้อย่างเห็นผล อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://bit.ly/1F6Q2nT) เมื่อเกิดบรรยากาศว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" ขึ้นมาแล้วผู้คนก็จะหมดซึ่งความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด และสิ่งนี้จะนำไปสู่ทั้งอาชญากรมที่รุนแรงกว่าเดิม และจำนวนที่มากขึ้นของอาชญากรรมที่ไม่รุนแรง

ทฤษฎีนี้นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็จากเมืองนิวยอร์คในช่วงปี 1993 ซึ่งนายกเทศมนตรี Rudolph Giuliani ได้ตั้งให้ William Bratton เป็นผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนิวยอร์ค ซึ่งทั้ง Giuliani และ Bratton นั้นเป็นผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ทั้งคู่ โดยนิวยอร์คในช่วงนั้นเป็นเมืองที่ไร้ระเบียบมาก มีการพ่นสีผนังและรถไฟให้เห็นได้อยู่ตลอด คนชักดาบค่ารถไฟใต้ดินกันทั่วไป คนเมาเดินกันเต็มท้องถนน และอัตราอาชญากรรมที่รุนแรงโดยเฉพาะการฆาตรกรรมนั้นก็สูงมาก

สิ่งที่ Giuliani และ Bratton ทำก็คือย้ายทรัพยากรออกจากอาชญากรรมที่รุนแรง และมุ่งความสนใจไปที่อาชญากรรมเล็กๆน้อยแต่เห็นได้ชัดเหล่านี้ กำลังพลส่วนใหญ่ของตำรวจนิวยอร์คในช่วงนั้นไปคอยตามจับคนที่ชักดาบค่ารถไฟใต้ดิน ตามจับคนเมาบนถนน ตามจับคนที่ทิ้งขยะหรือถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองก็ไปไล่ตามทำความสะอาดผนังตึกและรถไฟ การทำงานของเจ้าหน้าที่ในช่วงนั้นไม่มีการผ่อนปรนใดๆทั้งสิ้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กขนาดไหน ในช่วงแรกๆนั้นก็มีเสียงต่อต้านมากพอสมควรทีเดียว เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศบาลต่างก็บอกว่าตนกำลังใช้เวลาไปในเรื่อง "ไร้สาระ" และน่าจะเอาเวลาไปใช้กับเรื่องที่ดูรุนแรงและสำคัญกว่าจะมาใส่ใจกับอาชญากรรมกระจอกๆไร้สาระเหล่านี้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออัตราอาชญากรรมในเมืองนิวยอร์คลดลงอย่างรวดเร็ว และลดลงทั้งอาชญากรรม"เล็กๆ" และอาชญากรรม"ใหญ่ๆ" และยังคงลดลงเรื่อยๆในช่วงเวลาหลังจากนั้น ในปัจจุบันนั้นแม้ว่าจะมีการศึกษาที่เห็นแย้งว่าการลดลงของอาชญากรรมในช่วงนั้นน่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น แต่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยทีมวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็พบว่าความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นทำให้โอกาสที่ผู้คนจะก่ออาชญากรรมนั้นสูงขึ้นจริง (http://bit.ly/1AGworx) ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจนว่านี่เป็นกุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในนิวยอร์คจริง แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังมีความหมายมากพอที่จะยกมาพูดคุยกัน

ดังนั้นถ้าเราจะนำเรื่องนี้กลับมามองประเทศไทย นั่นย่อมหมายความว่าความย่อหย่อนในการกวดขันวินัยการจราจรและการปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมเห็นได้ชัด ก็จะทำให้เกิดความเชื่อว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆเป็นทวีคูณ และนั่นก็หมายความว่าการมุ่งความสนใจไปที่การกวดขันวินัยจราจรนั้นก็จะให้ผลดีเป็นทวีคุณเช่นเดียวกัน และยังจะให้ผลไปถึงการลดอัตราอาชญกรรมที่รุนแรงกว่านั้นอีกด้วย

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลุงบุญมีระลึกชาติ แล้วเมื่อไหร่ชาติจะระลึกถึงลุงบุญมี?

อ่านบน BlogSpot http://kidmaipood.blogspot.com/2015/05/blog-post.html

เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ของคุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งเป็นหนังระดับรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์อันเป็นรางวัลที่มอบให้กับหนังที่ถือว่าดีที่สุดในเทศกาลปีนั้นๆ เทียบกันง่ายๆก็แชมป์แกรนด์แสลมดีๆนี่เอง ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้รางวัลนี้และเป็นหนังเอเชียเรื่องที่สอง สิ่งหนึ่งที่ตัวเองประหลาดใจมาตลอดก่อนจะได้ดูก็คือคนไทยรู้จักหนังเรื่องนี้น้อยมาก คือถ้ารู้ก็รู้แค่ชื่อ แต่คนที่เคยดูจริงๆนี่แทบจะนับหัวได้ และการฉายในประเทศไทยก็ดูจะจำกัดมาก ซึ่งไม่ค่อยสมเหตสมผลเลยเมื่อพิจารณาถึงรางวัลอันสูงส่งที่ตัวหนังได้รับมา

แต่เมื่อตัวเองได้ดูแล้วก็เข้าใจว่าทำไม เพราะหนังเรื่องนี้พูดภาษาอีสานแทบทั้งเรื่อง (เป็นสำเนียงตอนกลางๆของภาคอีสานแถวๆ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด - คุณอภิชาติพงศ์โตที่จังหวัดขอนแก่นจนจบมหาวิทยาลัย) ตัวละครหลักๆในเรื่องมีหกคน แต่มีหลานชายของลุงบุญมีคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯและพูดภาษาอีสานไม่ได้ ส่วนลุงบุญมี ภรรยา ลูกชาย น้องสาว และหัวหน้าคนงานที่บ้านล้วนแต่พูดภาษาอีสานกันตลอดทั้งเรื่อง และเป็นภาษาอีสานจริงๆไม่ใช่การพูดภาษาไทยติดสำเนียงหรือคำศัพท์อีสาน

ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงองค์บากซึ่งเป็นหนังที่สร้างชื่อให้จา พนมดังแบบชั่วข้ามคืน ในองค์บากนั้นจาก็พูดภาษาอีสานทั้งเรื่องเหมือนกัน (จา พนมโตที่จังหวัดสุรินทร์นะครับถ้าใครยังไม่ทราบ) ด้วยความที่หนังเป็นหนังบู๊ต่อให้คนดูฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ไปดูก็คงไม่ได้เข้าใจว่าจาพูดอะไร (แม้ว่าอาจจะพอเดาได้จากเหตุการณ์ในหนัง) และไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทางวัฒนธรรมอย่างเช่นการที่จาเรียกหม่ำว่า "อ้ายหำแหล่"

สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ความคิดของผมแล่นต่อไปถึงแนวคิดหนึ่งซึ่งผมก็มีมาได้สักพักแล้ว นั่นคือ จริงๆแล้วประเทศไทยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากกว่าที่เราได้รับรู้กันเยอะ

ในบางแง่นั้นประเทศไทยก็เปรียบเสมือนกับมีประเทศย่อยๆจำนวนมากมารวมกัน เราเริ่มจาการใช้ภาษาเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมก็ได้เพราะเป็นอะไรที่สังเกตกันได้ชัดเจน คุณเคยรู้หรือไม่ว่าความหลากหลายทางภาษาในประเทศไทยนั้นมากขนาดไหน? 

ประเทศไทยนั้นมีอยู่แปดภาษาที่มีผู้ใช้มากกว่าหนึ่งล้านคน นั่นคือภาษาไทยกลาง ภาษาอีสาน ภาษาเหนือ ภาษาใต้ ภาษามลายูปัตตานี(หรือภาษายาวี) ภาษาเขมร ภาษาโคราช และภาษาจีนแต้จิ๋ว (เรียงตามจำนวนผู้ใช้) และถ้าจะนับเอาภาษาที่มีผู้ใช้มากกว่าหนึ่งแสนคนเราก็จะได้ภาษากวย ภาษากะเหรี่ยงสะกอ ภาษาผู้ไท ภาษามอญ ภาษากะยาตะวันออก และภาษาพวนเข้ามาด้วย เบ็ดเสร็จรวมเป็นสิบสี่ภาษา คำถามสำคัญคือ เราเคยรับรู้เรื่องพวกนี้มากน้อยแค่ไหน?

ถ้าใครที่เคยใช้ชีวิตมาอย่างผมก็คงจะตอบว่าน้อยมาก ตัวผมเองนั้นตอนที่โตขึ้นมาในกรุงเทพฯก็ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับภาษาอื่นๆในประเทศไทย จนกระทั่งได้มาเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเหตุผลสำคัญ(ตามความเชื่อของผม)ก็คือรัฐบาลไทยนั้นมีนโยบายในการชูภาษาไทยกลางและกดภาษาอื่นมาตลอด รัฐบาลส่วนกลางนั้นไม่เคยสนับสนุนภาษาอื่นแต่จะดันให้ท้องถิ่นรับภาษาไทยกลางมากขึ้น และเราจะสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก(ซึ่งย่อมต้องถูกผลักดันจากแนวทางนโยบายของรัฐบาลอีกที)นั้นก็แทบจะมีแต่ภาษาไทยกลางสำเนียงกรุงเทพฯ ถ้ามีคนที่พูดภาษาอื่น(หรือแม้แต่ภาษาไทยกลางสำเนียงอื่น)ก็มักจะถูกวาดภาพเป็นตัวตลกหรือเป็นคนบ้านนอกอยู่เสมอ

แม้แต่การเปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้นก็เป็นความพยายามในการเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางและกดวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นกัน ท่านทราบหรือไม่ว่าคำว่า "สยาม" นั้นหมายถึงพื้นที่ แต่คำว่า "ไทย" นั้นหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ไทยนั้นเป็นชนชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศสยาม การเปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้นก็เกิดขึ้นจากความต้องการในการกดข่มวัฒนธรรมอื่นๆและเชิดชูวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในสมัยนั้น(คือวัฒนธรรมกรุงเทพฯและภาคกลางในปัจจุบัน) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากคำแถลงต่อรัฐสภาของจอมพลป. พิบูลสงครามในปี 2482

“...การที่เราใช้คำว่า ประเทศสยามนั้น นอกจากจะไม่ตรงกับเชื้อชาติของเราแล้ว ในต่อไปภายหน้าคนชาวต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศของเรา ก็อาจที่จะถือเอาสิทธิประเทศของเราเป็นประเทศของเขาก็ได้ คือเราเป็นชาวไทย เราก็อยู่ในประเทศสยาม ชาวจีนก็อยู่ในสยาม ถ้าหากว่าการที่อพยพของชาวต่างประเทศมากขึ้นในต่อไปข้างหน้าตั้งพันปี เราก็อาจจะไม่เข้าใจว่าประเทศสยามนี้เป็นของไทยหรือของจีน หรือของคนอื่น.”

แนวคิดที่แฝงอยู่ในคำแถลงนี้ก็คือ "ประเทศสยามเป็นของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย ไม่ใช่ของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น" ซึ่งก็ถูกสะท้อนมาจนถึงปัจจุบันในแนวคิดว่า "วัฒนธรรมของประเทศไทยคือวัฒนธรรมไทยกลาง ส่วนวัฒนธรรมอื่นๆเป็นแค่วัฒนธรรมท้องถิ่น" แน่นอนว่าการที่คนรุ่นใหม่ไม่เคยรู้นัยยะที่ซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนชื่อประเทศก็เพราะเนื้อหาส่วนนี้ไม่ได้ถูกสอนในโรงเรียน และการตัดสินใจไม่สอนเนื้อหาส่วนนี้ในโรงเรียนจะเป็นเพราะอะไรล่ะ? ถ้าผมต้องแทงพนันผมคงจะแทงว่าการตัดสินใจนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกดข่มวัฒนธรรมท้องถิ่นและเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่ จริงแค่ไหน ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม แต่ขอให้ท่านลองมองรอบๆตัวและพิจารณาดูด้วยตัวเอง

-------------------------------------------------------------

เมื่อสื่อใหม่ๆเกิดได้ง่ายขึ้น ทีวีและวิทยุท้องถิ่นมีมากขึ้น เราก็จะพบว่ามีสื่อจำนวนมากที่มุ่งเน้นวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนว่าอัตลักษณ์ท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายกับผู้คน คำถามที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ การกดข่มภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นมีเหตุผลอันควรหรือไม่? การเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางว่า "เหนือกว่า" วัฒนธรรมอื่นๆยังเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่อีกหรือไม่? ประเทศไทยในยุคปัจจุบันควรจะดำเนินไปสู่ความกลมเกลียวที่กอปรขึ้นด้วยความหลากหลายได้แล้วหรือยัง?

สำหรับผู้ที่โตมานอกวัฒนธรรมกระแสหลักผมคงไม่จำเป็นต้องถาม แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลักของส่วนกลางมาตลอด ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้าวันหนึ่งคุณถูกนโยบายรัฐบาลและสื่อบังคับให้ต้องสื่อสารด้วยภาษาเหนือ(หรือภาษาท้องถิ่นอื่นๆ)ตลอดเวลา และตัวละครที่พูดภาษาหรือสำเนียงของคุณไม่เคยได้เป็นอะไรนอกจากตัวตลกในทีวี คุณจะชื่นชอบชีวิตแบบนั้นหรือไม่?

การมีภาษาราชการภาษาเดียวไม่ผิดอะไร แต่การกดข่มภาษาและวัฒนธรรมอื่นๆนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไหร่

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ประชากรไทยกำลังหดตัว!!

วันนี้ไปอ่านเจอประเด็นน่าสนใจ นั่นคืออัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total fertility rate) ซึ่งเป็นตัวเลขที่หมายถึงจำนวนเด็กที่เกิดเฉลี่ยต่อผู้หญิงหนึ่งคน เช่นถ้าในกลุ่มประชากรหนึ่งมีอัตรานี้เท่ากับ 2.0 นั่นก็หมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนก็จะมีลุกสองคน

คำถามสำคัญก็คืออัตราเท่าไหร่ที่จะทำให้ขนาดประชากรคงที่? หรือเรียกอีกอย่างก็คืออัตราการเจริญพันธุ์ทดแทน (Replacement fertility rate) ก็คืออัตราที่ทำให้ประชากรเกิดขึ้นใหม่ทดแทนพอดี

บางคนอาจจะคิดว่า 2.0 รึเปล่า แทนผู้หญิงหนึ่งคนและแทนผู้ชายอีกหนึ่งคน ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ แต่ว่ามันยังมีปัจจัยอื่นอีกที่มีผล ในขั้นแรกอัตราการเกิดตามธรรมชาติของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อัตราการเกิดโดยธรรมชาติของทารกชายต่อทารกหญิงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 103-107:100 (ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 105:100) นั่นหมายความว่าอัตรานี้จะต้องมากกว่า 2.0 และจะต้องอยู่ที่ประมาณ 2.03-2.07 ในประเทศไทยก็ต้องอยุ่ที่ประมาณ 2.05

แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะเด็กที่เกิดอาจมีโ่รคภัยไข้เจ็บและเสียชีวิตได้ ดังนั้นอัตรานี้ก็จะต้องเผื่ออัตราการเสียชีวิตของเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ด้วย ดังนั้นในประเทศที่มีปัญหาเรื่องนี้เยอะก็จะต้องการอัตราการเจริญพันธุ์รวมที่สูง บางประเทศอาจต้องสูงถึง 3.3! สำหรับประเทศไทยนั้นผมยังไม่เจอว่ามีใครประมาณเอาไว้ แต่ให้กะๆเอาก็น่าจะสูงกว่า 2.05 ขึ้นไปซักหน่อย

ปัญหาก็คือในปี 2557 นั้นอัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 1.4 เท่านั้น! ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเรามองไปในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นว่ามีผู้หญิงที่ไม่แต่งงานจำนวนมากขึ้น มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไม่มีลูก หรือมีลูกเต็มที่ก็มักจะแค่สองคนเท่านั้น และดูๆไปแล้วแนวโน้มทางสังคมนี้ก็ไม่ได้ดูจะหายไปไหน นั่นหมายความว่าประชากรไทยจะค่อยๆหดตัวลง

แต่ปัญหาที่จะต้องเจอกันก่อนที่ประชากรจะหดตัวลงก็คือปัญหาประชากรแก่ตัว เนื่องจากการแพทย์ในยุคปัจจุบันดีขึ้น และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมก็ดีขึ้น นั่นทำให้ประชากรอายุยืนขึ้น และเราจะต้องเจอสถานการณ์ที่ประชากรสูงอายุมีจำนวนมากเมื่อเทียบกับประชากรในวัยทำงาน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว ในบางประเทศหนักกว่าเราอีกเพราะอัตราเจริญพันธุ์รวมไม่ถึงครึ่งของอัตราทดแทนด้วยซ้ำ! (ดูอัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศต่างๆได้ที่แผนที่นี้ http://bit.ly/1Jzyul7)

ประเทศไทยนั้นมีปัญหาอีกอย่างคือการที่ต้องเก็บภาษีจากวัยทำงานไปจ่ายให้ค่ารักษาพยาบาลของผู้สูงอายุ นั่นหมายความว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องพึ่งพิงกำลังการผลิตจากแรงงานต่างด้าว เพราะลำพังประชาชนในวัยทำงานไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอต่อการเก็บภาษีไปใช้ดูแลผู้สูงอายุ

ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมีอยู่ประมาณหนึ่งล้านสี่แสนคนในประเทศไทย วันนี้เขาคือแรงงานต่างด้าว แต่ใครจะไปรู้ ต่อไปเขาอาจเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของประเทศก็ได้

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

เราสามารถทำนายแผ่นดินไหวได้จริงหรือไม่

บ่อยครั้งเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นก็จะมีคนที่พูดถึงประเด็นของการทำนายภัยพิบัติเหล่านี้ ในกรณีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาลที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เช่นกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าเราไม่มีทางทำนายแผ่นดินไหวได้เลยเหรอ ในเมื่อเรามีเครื่องมีตรวจวัดต่างๆมากมาย และเราก็รู้ว่ารอยเลื่อนของแผ่นธรณีใหญ่ๆอยู่ที่ไหนบ้าง

ก่อนอื่นต้องลองถอยกลับมามองข้อมูลสำคัญที่ต้องได้จากการทำนายก่อน การทำนายจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ "สถานที่" และ "เวลา" ถูกต้องทั้งคู่ ซึ่งนี่แหละเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การทำนายแผ่นดินไหวเป็นเรื่องยากมากๆจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ลองจินตนาการสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีการประกาศออกมาว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในเมือง A วันที่ ฺB ในขั้นแรกหากวันที่ประกาศใกล้กับวันที่ทำนายว่าจะเกิดแผ่นดินไหวก็จะต้องเกิดความโกลาหลเพราะผู้คนจะพยายามหนีออกจากเมือง อาจมีการแย่งชิงสินค้า อาหาร หรือน้ำมัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะหนักพอๆกันหรืออาจจะมากยิ่งกว่าผลที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวเอง

ถ้าวันที่ประกาศห่างจากวันที่ทำนายพอสมควรก็อาจจะไม่เกิดความโกลาหล แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร? สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมืองนั้นคงจะกลายเป็นเมืองร้าง กิจกรรมทุกอย่างในเมืองก็จะหยุดสนิท ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะตามมาอย่างมากมาย

ไม่เพียงแค่นั้นการทำนายแผ่นดินไหวเองนั้นก็ทำได้ยากอยู่แล้ว การจะระบุสถานที่และเวลาให้ได้อย่างแม่นยำนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลประกาศการทำนายแผ่นดินไหวออกมา ผู้คนย้ายออกจากเมืองหมด แต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือรัฐบาลประกาศการทำนายออกมาแล้วผู้คนย้ายออกไปเมืองข้างๆ แต่แผ่นดินไหวกลับไปเกิดในเมืองข้างๆแทน โอกาสที่จะทำนายถูกนั้นต่ำอยู่แล้ว และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำนายที่ผิดก็ยังใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะอยู่กับแผ่นดินไหวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงภัยพิบัติประเภทอื่นๆด้วย



เมื่อเราตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้แล้วเราก็คงจะไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงแทบจะไม่เคยได้ยินประกาศเกี่ยวกับการทำนายภัยพิบัติเลย และในการจัดการกับปัญหาภัยพิบัตินั้นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำนายเป็นอันดับหนึ่ง แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะลดความเสียหายที่เกิดขึนแทน กฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านเรือนและสิ่งต่างๆที่ทนทานต่อแผ่นดินไหว การเตรียมพร้อมในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในปัจจุบัน

และถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นประสิทธิภาพของวิธีเหล่านี้ก็ต้องลองเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลและสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นหากแผ่นดินไหวในระดับเดียวกันเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เนปาลนั้นปัจจุบันอยู่ที่สองพันกว่าคน และสุดท้ายแล้วน่าจะอยู่ที่สามพันกว่าคน แต่หากแผ่นดินไหวในระดับเดียวกันเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย(ซึ่งมีกลไกในการลดความรุนแรงจากแผ่นดินไหว)จำนวนผู้เสียชีวิตถูกประมาณไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณสิบถึงสามสิบคนเท่านั้น!

ดังนั้นแนวคิดในปัจจุบันก็คือเราไม่พยายามจะทำนายสิ่งที่เราไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ แต่เราเลือกที่จะเตรียมพร้อมในการลดความรุนแรงหากเกิดภัยพิบัติขึ้นแทน