บางคนอาจจะสงสัยว่าไอ้คนช่างจ้อ ช่างออกความเห็นอย่างผมเนี่ย ทำไมถึงเงียบนักเรื่องโรฮิงญา
คำตอบก็คือไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ ภาวะแบบนี้มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทางออกที่ดีอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ทางออกที่ทำได้มีแค่แย่ กับแย่กว่า (ทำไมมันแย่ขนาดนั้น อ่านรายละเอียดได้ในโพสต์ที่แชร์ไว้ข้างท้ายครับ) แต่กรณีปัญหาของโรฮิงญานี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นภาพที่แตกต่าง นันคือเรื่องอากงของผมเอง ซึ่งก็เป็นตัวแทนของเรื่องราวผู้อพยพที่ไปได้ดิบได้ดีในประเทศใหม่อีกทอดหนึ่ง
อากงมาจากเกาะไหหลำ เท่าที่จำได้จากที่อากงและญาติผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังคืออากงขึ้นเรือมาเมืองไทยตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น มาตั้งแต่ก่อนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พอมาถึงเมืองไทยก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาไทยจนอ่านออกเขียนได้ และทำงานทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่บ่น เป็นกระเป๋ารถเมล์ ขายของ ฯลฯ อากงเก็บเงินจนสามารถตั้งธุรกิจเล็กๆของตัวเองได้ และที่สำคัญเงินที่จ่ายออกไปนั้นอันดับหนึ่งอยู่ที่การศึกษาของลูกหลาน อากงกับอาเน่มีลูกสี่คน ลุง ป๊า และอาผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสี่คนอยู่ในรุ่นอายุประมาณห้าสิบปลายๆถึงหกสิบต้นๆ แต่ในสมัยนั้นอากงสามารถดันให้ทั้งสี่จบปริญญาตรีที่จุฬาฯทุกคน และภายหลังในชีวิตก็จบปริญญาโททุกคนอีกด้วย สำหรับคนในกลุ่มอายุนั้นแค่จบมหาวิทยาลัยก็เจอได้ไม่บ่อยแล้ว แต่การที่พี่น้องจบจุฬาฯและต่อไปจนจบป.โทได้ทุกคนนั้นน้อยซะยิ่งกว่าน้อย และภายในรุ่นเดียวจากผู้อพยพที่มาแบบมือเปล่าเท้าเปล่าก็เติบโตขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางที่อยู่ในสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ
เส้นทางชีวิตแบบนี้เราก็จะเห็นเป็นตัวอย่างได้อยู่เรื่อยๆ ในประเทศไทยกลุ่มผู้อพยพที่มีชีวิตแบบนี้มักจะเป็นคนเชื้อสายจีน แต่ถ้ามองในระดับโลกแล้วก็มีคนหลากหลายเชื้อสายที่อพยพย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศบ้านเกิดของตัวเองแล้วไปสร้างชีวิตใหม่ที่คนท้องถิ่นจำนวนมากต้องอิจฉา คนจีน เกาหลี และญี่ปุ่นที่ไปเติบโตในอเมริกามีจำนวนมาก คนอินเดียในอังกฤษ หรือแม้กระทั่งคนไทยเองที่ไปทำงานจนเติบโตอยู่ที่ต่างประเทศ
แต่ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือผู้อพยพชาวโรฮิงญานั้นไม่ได้มีแนวโน้มที่จะดำเนินชีวิตตามรูปแบบนี้
ผมเองไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ข้อมูลจากหลายๆแหล่งก็พูดตรงกันว่าชาวโรฮิงญาที่อพยพเข้าไปในประเทศใหม่แล้วมักจะไม่มีความพยายามในการตั้งใจทำมาหากิน กลับกันพวกเขามักจะคอยเรียกร้องสิ่งนู้นสิ่งนี้อยู่เสมอ และเหมือนจะคิดกันว่าพวกเขาเองต้องมีสิทธิได้รับสิ่งต่างๆจากสังคม ความเชื่อทางศาสนาเองก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา ตามแนวคิดแบบดั้งเดิมที่ชาวโรฮิงญายึดถือนั้นการคุมกำเนิดจะทำไม่ได้เลย (ผมมีเพื่อนชาวอิสลามในประเทศไทยหลายคนที่ปรับแนวคิดดั้งเดิมนี้ให้เป็น "ไม่คุมกำเนิดถาวร" ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับชีวิตในสังคมปัจจุบัน) ไม่ใช่แค่นั้นชาวโรฮิงญายังมีความเชื่อว่าต้องมีลูกหลานให้มากที่สุด จนการมีลูกนั้นบ่อยครั้งจะเป็น "มีเพื่อให้ได้มี" แต่ไม่ได้คิดกันล่วงหน้าว่าควรจะมีลูกกี่คน มีไปทำไม มีแล้วดูแลได้แค่ไหน
ผู้อพยพชาวโรฮิงญาจึงเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่มีใครอยากรับ เพราะรับมาแล้วก็จะต้องเจอกับสถานการณ์ตรงกันข้ามกับกลุ่มผู้อพยพข้างบน กลุ่มข้างบนนั้นยิ่งรับยิ่งดี เพราะไม่เคยเรียกร้องอะไรจากทางการ มีแต่จะขยันทำงานทำตัวเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม แต่ชาวโรฮิงญายิ่งรับยิ่งกลุ้ม เพราะเรียกร้องเอาแทบจะทุกอย่าง และไม่ได้มีความพยายามในการหาเลี้ยงตัวเอง อีกทั้งยังขยันผลิตลูก ซึ่งเมื่อโตขึ้นมาแล้วก็รับเอาแนวคิดแบบเดียวกันต่อมาจากพ่อแม่
สุดท้ายแล้วผมเองก็ยังไม่มีคำตอบว่าวิกฤติทางมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้นนั้นควรจะแก้ไขอย่างไร แต่ถ้าเราจะหาคำตอบของเรื่องนี้ผ่านประวัติศาสตร์ของผู้อพยพที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าคำตอบที่เราจะได้คือ แม้ผู้ด้อยโอกาสในสังคมจะสมควรได้รับการหยิบยื่นโอกาสและความช่วยเหลือให้ แต่การพึ่งพิงความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นไม่เคยช่วยให้ใครหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ และหนทางในการเติบโตอย่างยั่งยืนนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยมือของตัวเองเท่านั้น
โพสต์เกี่ยวกับโรฮิงญาที่คิดว่ามีข้อมูลซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์
- https://www.facebook.com/wanchai.roujanavong/posts/991205187558375
- https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1655166524704381:0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น