วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 2)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3

มาต่อตอนที่สองกันนะครับ หลักการข้อที่สองคือ รวมผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา

นี่ก็เป็นหลักการอีกข้อหนึ่งที่สำคัญแต่รัฐบาลไทยได้มองข้ามไปอย่างมาก บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องรวมทุกกลุ่มเข้ามาด้วย มันวุ่นวายและเสียเวลา จะตกลงกันให้ได้ก็ยากขึ้นไปกว่าเดิมอีก สู้ตกลงกันระหว่างกลุ่มใหญ่ๆไม่กี่กลุ่มง่ายกว่ากันเยอะ แล้วค่อยให้กลุ่มเล็กๆมาทำตามมติกลุ่มใหญ่อีกที

ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ลองนึกดูว่าถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนได้เสียในประเด็นปัญหาบางอย่าง แต่ตอนที่เขาเจรจากันท่านกลับถูกกีดกันไม่ให้ร่วม แล้วพอเขาเจรจากันเสร็จเขาก็มาบอกให้ท่านทำตามสิ่งที่เขาคิดกันมาแล้ว ท่านจะยินดีทำสิ่งนั้นหรือไม่? และต่อให้ท่านยอมทำ ท่านจะทำเต็มความสามารถหรือไม่? การจะให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขปัญหาและยอมทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นก็มีแต่ต้องให้เกียรติเขาโดยรวมเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา

แต่แน่นอนว่าการรวมทุกฝ่ายเข้ามานั้นไม่ได้หมายความว่าต้องมานั่งพร้อมหน้ากันทุกครั้งเสมอไป การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้กระบวนการเจรจานั้นทำได้ยากเกินไป แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีโอกาสได้ออกความเห็น ได้มีปากเสียงในการกำหนดบทสรุปของการเจรจา อาจจะทำโดยให้กลุ่มใหญ่บางกลุ่มพูดคุยกับกลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่มก่อน แล้วเป็นผู้รวบรวมความเห็นของกลุ่มเล็กๆเหล่านั้นไปนำเสนอในที่ประชุมหลักอีกทีหนึ่งก็ได้

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มด้วย ปล่อยๆบางกลุ่มไปไม่ได้หรือไงกัน? คำตอบก็คือเราควรจะตระหนักไว้เสมอว่าผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายนั้นมีบางอย่างที่ฝ่ายอื่นไม่มี และการที่แต่ละฝ่ายมีส่วนพิเศษในการช่วยเติมเต็มหนทางแก้ปัญหานั้นก็ทำให้ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ลองดูรายละเอียดของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละฝ่ายในปัญหาชาวโรฮิงญาได้ทางด้านล่าง

  • ประเทศทั้งหลายมีที่ดินให้ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยได้
  • United Nations High Commissioner for Refugees (ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) มีเงินสนับสนุน
  • เมียนมาร์เป็นถิ่นเกิดของชาวโรฮิงญา และมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว
  • ไทยมีตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมายของชาวโรฮิงญา และยังใกล้กับเรือที่ลอยอยู่ในทะเลอันดามันมากที่สุดในปัจจุบัน
  • มาเลเซียและอินโดนีเซียมีกลุ่มชนมุสลิมที่พร้อมจะรับชาวโรฮิงญามากกว่าชาวพุทธในไทย
  • อียูมีอำนาจการตัดสินใจคว่ำบาตรประเทศไทยหรือถอนประเทศไทยจากกลุ่มเสี่ยงในการคว่ำบาตร
  • สหรัฐฯมีฐานอำนาจในการเมืองโลก และประเทศที่ได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯจะมีตำแหน่งที่มั่นคงขึ้นในเวทีโลก
  • NGO ทั้งหลายมีความรู้ ประสบการณ์ บุคลากร และเครือข่าย
  • แม้แต่ชาวโรฮิงญาเองก็มีความสำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยอมรับในระยะยาว

จะเห็นว่าไม่ได้มีฝ่ายไหนเลยที่ไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์นี้ ดังนั้นการที่จะได้ทางออกที่ดีที่สุดย่อมเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างทุกฝ่าย เมื่อใดที่ฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งถูกกีดกันออกไปฝ่ายนั้นก็มีแนวโน้มสูงขึ้นว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้ปัญหามีแต่แย่ลง แต่ในทางกลับกันถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันได้ก็จะได้ประโยชน์กันทั้งหมด กุญแจสำคัญอยู่ที่การเริ่มต้นโดย “วางการเจรจาให้อยู่ในรูปแบบของการแก้ไขปัญหาร่วมกัน” และตามด้วย “รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา”

และในหลักการข้อที่สองนี้รัฐบาลไทยก็ทำผิดพลาดไปอย่างยิ่งเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยไม่เคยรวมใครเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจาเลย มีแต่จะผลักทุกคนออกไป และแยกตัวเองออกมาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ทุกครั้งที่รัฐบาลไทยผลักไสไล่ส่งคนอื่นออกไปก็มีแต่จะทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้น
  • ยิ่งผลักปัญหาให้เมียนมาร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็ยิ่งลดโอกาสในการที่ประเทศเหล่านี้จะให้ความร่วมมือ และยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ในภูมิภาคแย่ลงไปกว่าเดิม
  • ยิ่งกีดกันอียู ก็ยิ่งเสี่ยงจะโดนคว่ำบาตรมากขึ้น
  • ยิ่งผลักไส UNHCR ก็ยิ่งจะทำให้เงินสนับสนุนไหลออกไปประเทศอื่น
  • ยิ่งต่อว่าสหรัฐฯ ก็ยิ่งจะทำให้ตำแหน่งของประเทศในเวทีโลกลดต่ำลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งขัด NGO ก็ยิ่งทำให้ความช่วยเหลือมีน้อยลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งกนด่าชาวโรฮิงญา ก็ยิ่งจะเสริมความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันให้สูงขึ้น

รัฐบาลไทยอาจจะทำเช่นนี้เพราะหวังว่าปัญหาต่างๆจะผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ต้องเปลืองตัว จึงเลือกที่จะแยกตัวเองออกมาและผลักไสผู้อื่นออกไป แต่มันดูจะเป็นการมองโลกที่ง่ายเกินไป และนี่เป็นความผิดพลาดข้อที่สามซึ่งเราจะมาคุยต่อในตอนหน้ากัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น