วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 1)

ผมมีโอกาสได้เรียนวิชาการเจรจามาครับ และผมไม่ได้คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นสุดยอดนักเจรจาแต่อย่างใด เพียงแค่ผมคิดว่ามีหลักข้อคิดหลายๆอย่างเกี่ยวกับการเจรจาที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการเอามาเล่าสู่กันฟัง แต่จะเล่าให้ฟังเฉยๆมันก็ออกจะน่าเบื่อ ต้องมีกรณีศึกษามาเป็นบริบทในการพูดคุยบ้างจะช่วยให้การเล่าทั้งสนุกและไหลลื่นมากขึ้น แต่กรณีศึกษาอะไรที่จะเอามาเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาได้?

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างประจวบเหมาะก็คือกรณีผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเหมาะสมจะเอามาใช้ประกอบการเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาอย่างยิ่งเพราะมีส่วนประกอบต่างๆอันสำคัญต่อการเจรจาที่รัฐบาลไทยทำพลาดไปหลายจุดมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังกันเยอะแล้วทำให้ไม่ต้องเล่ารายละเอียดมาก

ผมจะขอเริ่มต้นตรงจุดที่ชาวโรฮิงญาขึ้นเรือมาจากรัฐยะไข่ในประเทศเมียนมาร์ และต้องมาถูกทิ้งให้ลอยคออยู่บนเรือกลางทะเลอันดามัน ในขณะเดียวกันนานาประเทศรวมทั้งสหประชาชาติก็มีการเรียกร้องให้ประเทศเมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียร่วมกันหาทางออก

หลักการข้อที่หนึ่ง วางการเจรจาให้เป็นการแก้ปัญหาร่วมกัน
ในภาษาไทยนั้นมีชุดคำที่ความหมายคล้ายคลึงกันอยู่ชุดหนึ่ง นั่นคือ การโต้เถียง การต่อรอง การเจรจา การแก้ปัญหาร่วมกัน ทั้งสี่คำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกันในแง่ที่ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และมีกลุ่มบุคคลอย่างน้อยสองกลุ่มกำลังพยายามจะคลี่คลายปัญหานั้น โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็เสียประโยชน์ให้น้อยที่สุด แต่แม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันสี่คำนี้ก็มีส่วนที่แตกต่างกันในแง่ของระดับความสร้างสรรค์ในการคลี่คลายปัญหา อารมณ์ที่ใส่เข้าไป และความเชื่อถือที่มีให้กัน

ถ้าเราใช้คำว่าการโต้เถียงนั้นเราก็จะเห็นภาพบุคคลหรือกลุ่มบุคคลระเบิดอารมณ์เข้าใส่กัน ไม่มีใครคิดอะไรออกนอกจากการเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่มีความเชื่อถือใดๆให้กัน ซึ่งนี่เป็นรูปแบบที่แย่ที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ผลที่ได้ออกมานั้นบ่อยครั้งจะเป็นการแตกหัก และเสียโอกาสกันทั้งคู่

เมื่อเราค่อยๆขยับห่างจากคำว่าโต้เถียงออกมาระดับของอารมณ์ที่ใส่เข้าไปในการคลี่คลายปัญหานั้นก็จะค่อยๆน้อยลงไป ความต้องการเอาชนะก็จะค่อยๆน้อยลงไปด้วย แต่ความเชื่อถือที่มีให้กันจะเพิ่มขึ้น เมื่อเรามาจนถึงอีกขั้วหนึ่งคือ “การแก้ปัญหาร่วมกัน” แล้วล่ะก็ ภาพที่เราเห็นก็จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อถือให้กันและกันซึ่งพยายามจะหาทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่ได้นำอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งนี่เป็นแนวทางที่ให้ประโยชน์สูงสุด และสร้างโอกาสในการคลี่คลายปัญหาได้มากที่สุด

เราจะเห็นว่าในปัญหาเรื่องโรฮิงญานั้นรัฐบาลไทยไม่เคยมีท่าที่ที่จะขยับไปใกล้การแก้ปัญหาร่วมกันเลย จริงๆแล้วอย่าว่าแต่จะไปให้ถึงการแก้ปัญหาร่วมกันเลย รัฐบาลไทยไม่เคยขยับออกจากการโต้เถียงด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำมีแต่การแย้งว่าทำไมผู้อื่นเป็นฝ่ายผิด และไม่เคยมีท่าทีของความเป็นมิตรหรือท่าทีในการให้ความเคารพกับผู้อื่นเลย แค่ข้อแรกก็ตกแล้ว จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ผลลัพธ์ของเรื่องโรฮิงญาคือรัฐบาลและประเทศนั้นต้องเจ็บหนักมาก เสียหายทั้งภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และตำแหน่งในเวทีโลก

บางคนอาจจะบอกว่าก็เราไม่ผิด ไม่เห็นจำเป็นต้องสน ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ใครจะไม่ชอบเราก็เรื่องของเขา สำหรับผู้ที่คิดอย่างนี้ผมก็ขออวยพรให้คุณโชคดีนะครับ เพราะการที่คุณจะเติบโตในชีวิตได้ด้วยแนวคิดแบบนี้นั้นคุณคงต้องการโชคเอามากๆเลยล่ะ แนวคิด "แตกเป็นแตก หักเป็นหัก" นั้นอาจจะ “ถูกใจ” แต่ยากเหลือเกินที่จะ “ถูกต้อง”

แค่ข้อแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ข้อต่อๆไปเอาไว้โพสต์หน้าแล้วกันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น