ช่วงนี้ประเด็นเรื่องการกวดขันและลงโทษการฝ่าฝืนทางจราจรเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม เหตุก็เนื่องมาจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่จักรยานหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและครอบครัวด้วย และเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกก็จะขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเหตุผลว่าทำไมการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มงวดถึงเป็นเรื่องสำคัญ และอาจจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการบังคับใช้กฎหมายในกรณีที่มักจะถือกันว่ารุนแรงกว่าอย่างเช่นการฆาตรกรรมด้วยซ้ำไป ซึ่งทฤษฎีที่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็คือทฤษฎีที่เรียกว่า Broken Windows Theory
ใจความสำคัญของทฤษฎีนี้ก็คือแนวคิดที่ระบุว่าอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นจากความรู้สึกและบรรยากาศว่ากฎระเบียบไม่ได้ถูกกวดขัน โดยความรู้สึกและบรรยากาศว่ากฎระเบียบไม่ได้ถูกกวดขันนั้นก็เกิดขึ้นจากการที่มีความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยที่เห็นได้ชัดในสังคม แม้ว่าความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นจะดูเล็กน้อยมากอย่างเช่นการที่มีเด็กแว้นซักคนนึงมาทุบกระจกหน้าต่างแตกแล้วหลบหนีไป สิ่งนี้เป็นเพราะความไม่เป็นระเบียบเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะสร้างบรรยากาศและความเชื่อว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" (ซึ่งผมเคยเขียนเอาไว้แล้วถึงเรื่องนี้ว่าความเขื่อว่า "ทำผิดแล้วถูกจับแน่" เป็นสิ่งที่หยุดการก่ออาชญากรรมได้อย่างเห็นผล อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://bit.ly/1F6Q2nT) เมื่อเกิดบรรยากาศว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" ขึ้นมาแล้วผู้คนก็จะหมดซึ่งความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด และสิ่งนี้จะนำไปสู่ทั้งอาชญากรมที่รุนแรงกว่าเดิม และจำนวนที่มากขึ้นของอาชญากรรมที่ไม่รุนแรง
ทฤษฎีนี้นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็จากเมืองนิวยอร์คในช่วงปี 1993 ซึ่งนายกเทศมนตรี Rudolph Giuliani ได้ตั้งให้ William Bratton เป็นผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนิวยอร์ค ซึ่งทั้ง Giuliani และ Bratton นั้นเป็นผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ทั้งคู่ โดยนิวยอร์คในช่วงนั้นเป็นเมืองที่ไร้ระเบียบมาก มีการพ่นสีผนังและรถไฟให้เห็นได้อยู่ตลอด คนชักดาบค่ารถไฟใต้ดินกันทั่วไป คนเมาเดินกันเต็มท้องถนน และอัตราอาชญากรรมที่รุนแรงโดยเฉพาะการฆาตรกรรมนั้นก็สูงมาก
สิ่งที่ Giuliani และ Bratton ทำก็คือย้ายทรัพยากรออกจากอาชญากรรมที่รุนแรง และมุ่งความสนใจไปที่อาชญากรรมเล็กๆน้อยแต่เห็นได้ชัดเหล่านี้ กำลังพลส่วนใหญ่ของตำรวจนิวยอร์คในช่วงนั้นไปคอยตามจับคนที่ชักดาบค่ารถไฟใต้ดิน ตามจับคนเมาบนถนน ตามจับคนที่ทิ้งขยะหรือถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองก็ไปไล่ตามทำความสะอาดผนังตึกและรถไฟ การทำงานของเจ้าหน้าที่ในช่วงนั้นไม่มีการผ่อนปรนใดๆทั้งสิ้นแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กขนาดไหน ในช่วงแรกๆนั้นก็มีเสียงต่อต้านมากพอสมควรทีเดียว เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศบาลต่างก็บอกว่าตนกำลังใช้เวลาไปในเรื่อง "ไร้สาระ" และน่าจะเอาเวลาไปใช้กับเรื่องที่ดูรุนแรงและสำคัญกว่าจะมาใส่ใจกับอาชญากรรมกระจอกๆไร้สาระเหล่านี้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออัตราอาชญากรรมในเมืองนิวยอร์คลดลงอย่างรวดเร็ว และลดลงทั้งอาชญากรรม"เล็กๆ" และอาชญากรรม"ใหญ่ๆ" และยังคงลดลงเรื่อยๆในช่วงเวลาหลังจากนั้น ในปัจจุบันนั้นแม้ว่าจะมีการศึกษาที่เห็นแย้งว่าการลดลงของอาชญากรรมในช่วงนั้นน่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น แต่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยทีมวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็พบว่าความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นทำให้โอกาสที่ผู้คนจะก่ออาชญากรรมนั้นสูงขึ้นจริง (http://bit.ly/1AGworx) ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจนว่านี่เป็นกุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในนิวยอร์คจริง แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังมีความหมายมากพอที่จะยกมาพูดคุยกัน
ดังนั้นถ้าเราจะนำเรื่องนี้กลับมามองประเทศไทย นั่นย่อมหมายความว่าความย่อหย่อนในการกวดขันวินัยการจราจรและการปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมเห็นได้ชัด ก็จะทำให้เกิดความเชื่อว่า "บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป" และ "ทำผิดไปก็ไม่ถูกจับ" ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆเป็นทวีคูณ และนั่นก็หมายความว่าการมุ่งความสนใจไปที่การกวดขันวินัยจราจรนั้นก็จะให้ผลดีเป็นทวีคุณเช่นเดียวกัน และยังจะให้ผลไปถึงการลดอัตราอาชญกรรมที่รุนแรงกว่านั้นอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น