อ่านบน BlogSpot http://kidmaipood.blogspot.com/2015/05/blog-post.html
เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง "ลุงบุญมีระลึกชาติ" ของคุณเจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งเป็นหนังระดับรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์อันเป็นรางวัลที่มอบให้กับหนังที่ถือว่าดีที่สุดในเทศกาลปีนั้นๆ เทียบกันง่ายๆก็แชมป์แกรนด์แสลมดีๆนี่เอง ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ได้รางวัลนี้และเป็นหนังเอเชียเรื่องที่สอง สิ่งหนึ่งที่ตัวเองประหลาดใจมาตลอดก่อนจะได้ดูก็คือคนไทยรู้จักหนังเรื่องนี้น้อยมาก คือถ้ารู้ก็รู้แค่ชื่อ แต่คนที่เคยดูจริงๆนี่แทบจะนับหัวได้ และการฉายในประเทศไทยก็ดูจะจำกัดมาก ซึ่งไม่ค่อยสมเหตสมผลเลยเมื่อพิจารณาถึงรางวัลอันสูงส่งที่ตัวหนังได้รับมา
แต่เมื่อตัวเองได้ดูแล้วก็เข้าใจว่าทำไม เพราะหนังเรื่องนี้พูดภาษาอีสานแทบทั้งเรื่อง (เป็นสำเนียงตอนกลางๆของภาคอีสานแถวๆ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด - คุณอภิชาติพงศ์โตที่จังหวัดขอนแก่นจนจบมหาวิทยาลัย) ตัวละครหลักๆในเรื่องมีหกคน แต่มีหลานชายของลุงบุญมีคนเดียวที่มาจากกรุงเทพฯและพูดภาษาอีสานไม่ได้ ส่วนลุงบุญมี ภรรยา ลูกชาย น้องสาว และหัวหน้าคนงานที่บ้านล้วนแต่พูดภาษาอีสานกันตลอดทั้งเรื่อง และเป็นภาษาอีสานจริงๆไม่ใช่การพูดภาษาไทยติดสำเนียงหรือคำศัพท์อีสาน
ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงองค์บากซึ่งเป็นหนังที่สร้างชื่อให้จา พนมดังแบบชั่วข้ามคืน ในองค์บากนั้นจาก็พูดภาษาอีสานทั้งเรื่องเหมือนกัน (จา พนมโตที่จังหวัดสุรินทร์นะครับถ้าใครยังไม่ทราบ) ด้วยความที่หนังเป็นหนังบู๊ต่อให้คนดูฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ไปดูก็คงไม่ได้เข้าใจว่าจาพูดอะไร (แม้ว่าอาจจะพอเดาได้จากเหตุการณ์ในหนัง) และไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทางวัฒนธรรมอย่างเช่นการที่จาเรียกหม่ำว่า "อ้ายหำแหล่"
สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ความคิดของผมแล่นต่อไปถึงแนวคิดหนึ่งซึ่งผมก็มีมาได้สักพักแล้ว นั่นคือ จริงๆแล้วประเทศไทยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากกว่าที่เราได้รับรู้กันเยอะ
ในบางแง่นั้นประเทศไทยก็เปรียบเสมือนกับมีประเทศย่อยๆจำนวนมากมารวมกัน เราเริ่มจาการใช้ภาษาเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมก็ได้เพราะเป็นอะไรที่สังเกตกันได้ชัดเจน คุณเคยรู้หรือไม่ว่าความหลากหลายทางภาษาในประเทศไทยนั้นมากขนาดไหน?
ประเทศไทยนั้นมีอยู่แปดภาษาที่มีผู้ใช้มากกว่าหนึ่งล้านคน นั่นคือภาษาไทยกลาง ภาษาอีสาน ภาษาเหนือ ภาษาใต้ ภาษามลายูปัตตานี(หรือภาษายาวี) ภาษาเขมร ภาษาโคราช และภาษาจีนแต้จิ๋ว (เรียงตามจำนวนผู้ใช้) และถ้าจะนับเอาภาษาที่มีผู้ใช้มากกว่าหนึ่งแสนคนเราก็จะได้ภาษากวย ภาษากะเหรี่ยงสะกอ ภาษาผู้ไท ภาษามอญ ภาษากะยาตะวันออก และภาษาพวนเข้ามาด้วย เบ็ดเสร็จรวมเป็นสิบสี่ภาษา คำถามสำคัญคือ เราเคยรับรู้เรื่องพวกนี้มากน้อยแค่ไหน?
ถ้าใครที่เคยใช้ชีวิตมาอย่างผมก็คงจะตอบว่าน้อยมาก ตัวผมเองนั้นตอนที่โตขึ้นมาในกรุงเทพฯก็ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับภาษาอื่นๆในประเทศไทย จนกระทั่งได้มาเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเหตุผลสำคัญ(ตามความเชื่อของผม)ก็คือรัฐบาลไทยนั้นมีนโยบายในการชูภาษาไทยกลางและกดภาษาอื่นมาตลอด รัฐบาลส่วนกลางนั้นไม่เคยสนับสนุนภาษาอื่นแต่จะดันให้ท้องถิ่นรับภาษาไทยกลางมากขึ้น และเราจะสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก(ซึ่งย่อมต้องถูกผลักดันจากแนวทางนโยบายของรัฐบาลอีกที)นั้นก็แทบจะมีแต่ภาษาไทยกลางสำเนียงกรุงเทพฯ ถ้ามีคนที่พูดภาษาอื่น(หรือแม้แต่ภาษาไทยกลางสำเนียงอื่น)ก็มักจะถูกวาดภาพเป็นตัวตลกหรือเป็นคนบ้านนอกอยู่เสมอ
แม้แต่การเปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้นก็เป็นความพยายามในการเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางและกดวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นกัน ท่านทราบหรือไม่ว่าคำว่า "สยาม" นั้นหมายถึงพื้นที่ แต่คำว่า "ไทย" นั้นหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ไทยนั้นเป็นชนชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศสยาม การเปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทยนั้นก็เกิดขึ้นจากความต้องการในการกดข่มวัฒนธรรมอื่นๆและเชิดชูวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยในสมัยนั้น(คือวัฒนธรรมกรุงเทพฯและภาคกลางในปัจจุบัน) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากคำแถลงต่อรัฐสภาของจอมพลป. พิบูลสงครามในปี 2482
“...การที่เราใช้คำว่า ประเทศสยามนั้น นอกจากจะไม่ตรงกับเชื้อชาติของเราแล้ว ในต่อไปภายหน้าคนชาวต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศของเรา ก็อาจที่จะถือเอาสิทธิประเทศของเราเป็นประเทศของเขาก็ได้ คือเราเป็นชาวไทย เราก็อยู่ในประเทศสยาม ชาวจีนก็อยู่ในสยาม ถ้าหากว่าการที่อพยพของชาวต่างประเทศมากขึ้นในต่อไปข้างหน้าตั้งพันปี เราก็อาจจะไม่เข้าใจว่าประเทศสยามนี้เป็นของไทยหรือของจีน หรือของคนอื่น.”
แนวคิดที่แฝงอยู่ในคำแถลงนี้ก็คือ "ประเทศสยามเป็นของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย ไม่ใช่ของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น" ซึ่งก็ถูกสะท้อนมาจนถึงปัจจุบันในแนวคิดว่า "วัฒนธรรมของประเทศไทยคือวัฒนธรรมไทยกลาง ส่วนวัฒนธรรมอื่นๆเป็นแค่วัฒนธรรมท้องถิ่น" แน่นอนว่าการที่คนรุ่นใหม่ไม่เคยรู้นัยยะที่ซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนชื่อประเทศก็เพราะเนื้อหาส่วนนี้ไม่ได้ถูกสอนในโรงเรียน และการตัดสินใจไม่สอนเนื้อหาส่วนนี้ในโรงเรียนจะเป็นเพราะอะไรล่ะ? ถ้าผมต้องแทงพนันผมคงจะแทงว่าการตัดสินใจนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกดข่มวัฒนธรรมท้องถิ่นและเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่ จริงแค่ไหน ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม แต่ขอให้ท่านลองมองรอบๆตัวและพิจารณาดูด้วยตัวเอง
-------------------------------------------------------------
เมื่อสื่อใหม่ๆเกิดได้ง่ายขึ้น ทีวีและวิทยุท้องถิ่นมีมากขึ้น เราก็จะพบว่ามีสื่อจำนวนมากที่มุ่งเน้นวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนว่าอัตลักษณ์ท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งที่มีความหมายกับผู้คน คำถามที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ การกดข่มภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นมีเหตุผลอันควรหรือไม่? การเชิดชูวัฒนธรรมส่วนกลางว่า "เหนือกว่า" วัฒนธรรมอื่นๆยังเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่อีกหรือไม่? ประเทศไทยในยุคปัจจุบันควรจะดำเนินไปสู่ความกลมเกลียวที่กอปรขึ้นด้วยความหลากหลายได้แล้วหรือยัง?
สำหรับผู้ที่โตมานอกวัฒนธรรมกระแสหลักผมคงไม่จำเป็นต้องถาม แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลักของส่วนกลางมาตลอด ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้าวันหนึ่งคุณถูกนโยบายรัฐบาลและสื่อบังคับให้ต้องสื่อสารด้วยภาษาเหนือ(หรือภาษาท้องถิ่นอื่นๆ)ตลอดเวลา และตัวละครที่พูดภาษาหรือสำเนียงของคุณไม่เคยได้เป็นอะไรนอกจากตัวตลกในทีวี คุณจะชื่นชอบชีวิตแบบนั้นหรือไม่?
การมีภาษาราชการภาษาเดียวไม่ผิดอะไร แต่การกดข่มภาษาและวัฒนธรรมอื่นๆนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไหร่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น