วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตอบไวแบบสายฟ้าแลบคือฉลาด ชัวร์หรือมั่วนิ่ม?

จริงๆแล้วเรื่องนี้ผมก็พยายามหาคำตอบมาได้สักพักแล้วเพราะเป็นส่วนสำคัญของการเรียนการสอน แต่สิ่งที่กระตุ้นให้มาเขียนถึงก็คือกรณีที่มีตัวแทนไทยไปถามปธน.โอบามาใน Young Southeast Asian Leaders Initiative ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนนี้ว่า "ถ้าเป็นคนโรฮิงญาจะอยากอยู่ประเทศไหน? และทำไม?" (ดูวีดีโอได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1AKifPB เริ่มต้นที่ 41:50)


ผมรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษเพราะผมพบว่าหลายๆคนมองว่าเจอคำถามนี้เข้าไป "โอบามาถึงกับอึ้ง" ถ้าเราไปย้อนดูวีดีโอแล้วเราก็จะพบว่าตั้งแต่ถามคำถามจบ จนถึงตอนที่ปธน.โอบามาเริ่มตอบ ใช้เวลาประมาณแปดวินาที (42:18-42:26) ซึ่งเป็นเวลาที่นานกว่าหลายๆคำถามในกิจกรรมเดียวกันจริงๆ โดยในหลายๆคำถามในกิจกรรมนี้ปธน.โอบามาจะตอบภายในสองถึงสามวินาทีเท่านั้น หรือบางอันก็แทบจะเริ่มตอบได้ทันที ความแตกต่างของเวลานี้ก็คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆคนมองว่ากรณีนี้ปธน.โอบามา "อึ้ง"

ถ้าเราลองมองไปรอบๆตัว รวมทั้งมองไปข้างในตัวเอง ความเชื่อที่พบได้ทั่วไปสำหรับการตอบคำถามที่เรียกได้ว่า "ฉะฉานและฉลาดเฉลียว" ก็คือการที่ผู้ตอบสามารถตอบได้แทบจะทันที สิ่งนี้สะท้อนผ่านสื่อกระแสหลักซึ่งมีวิธีหนึ่งในการแสดงความฉลาดเฉลียวของตัวละครคือการตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พฤติกรรม "อึ้ง" ซึ่งตัวละครต้องใช้เวลาคิดนานนั้นก็มักจะถูกสื่อออกมาในภาพของสถานการณ์จนแต้ม

อีกจุดหนึ่งที่ความเชื่อนี้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนก็คือการถามคำถามในห้องเรียนระหว่างครูและนักเรียน มีการวิจัยว่าครูให้เวลานักเรียนคิดนานเท่าไหร่ในการตอบคำถาม(http://bit.ly/1IcExcJ) และพบว่าเวลาโดยเฉลี่ยที่ให้นั้นน้อยกว่าหนึ่งวินาที! และถ้ามีนักเรียนคนไหนสามารถตอบขึ้นมาได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆนั้น คำถามต่อไปก็มักจะตามมาภายในหนึ่งวินาทีหลังจากที่นักเรียนพูดจบ ถ้านักเรียนใช้เวลาคิดนานกว่านี้ครูก็มักจะถือว่านักเรียนตอบไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทุกคนลองนึกย้อนไปตอนที่เป็นนักเรียนก็คงจะเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น และนี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าความเชื่อในทำนองว่า การตอบคำถามได้รวดเร็วคือสิ่งที่ควรจะเป็น นั้นฝังรากลึกอยู่ในระบบความเชื่อของเรา


แต่ผมคิดว่ามุมมองที่จะเป็นประโยชน์กว่าคือการตั้งคำถามว่า "แนวคิดนี้ถูกต้องจริงหรือไม่?"

ย้อนกลับไปที่งานวิจัยทางข้างต้นอีกที สิ่งที่ผู้วิจัยเสนอก็คือให้ผู้ถามรอเป็นเวลาสามถึงห้าวินาที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเวลานานมาก และหลายๆคนจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องรอ ทว่าการตอบคำถามนั้นต้องใช้เวลามากกว่าที่เราคิด ถ้าเราลองมาคิดดูดีๆว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เราก็จะพบว่าการจะตอบคำถามนั้นต้องใช้กระบวนการถึงสี่ขั้นตอนด้วยกันก่อนจะเริ่มตอบได้ นั่นคือ 1.ตีความคำถาม 2.ค้นหาคำตอบที่เป็นไปได้ 3.พิจารณาว่าคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ดี และ 4.เรียบเรียงคำตอบให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้ฟังจะรู้เรื่อง ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆเลย แม้ว่าบางครั้งกระบวนการนี้อาจจะเร็ว แต่ก็คงไม่ได้เร็วไปกว่าหนึ่งวินาทีแน่นอน

Peter Bregman เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "Four Seconds" (http://bit.ly/1Gpe9xw) ซึ่งกล่าวถึงวิธีง่ายๆเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น และพูดถึงเหตุผลทางชีววิทยาที่รองรับข้อเสนอที่ผู้วิจัยตามข้างต้นบอกว่าให้รอสามถึงห้าวินาที ประเด็นสำคัญก็คือเวลาเรารับสิ่งกระตุ้นอะไรเข้ามาแล้วสมองส่วนแรกที่จะตอบสนองก็คือส่วนที่เรียกว่าอะมิกดะลา (amygdala - ชื่อเดียวกันกับเจ้าหญิงใน Star Wars ที่เป็นแม่ของอนาคินนั่นแหละ) ซึ่งอะมิกดะลานั้นเป็นเป็นสมองในส่วนของอารมณ์ความรู้สึก และไม่ใช่ส่วนที่รับผิดชอบตรรกะและความคิดระดับสูง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมองส่วนหน้า และตามสรีรวิทยาของสมองแล้วเวลาที่ต้องใช้ในการที่สมองส่วนหน้าจะเริ่มทำงานเต็มประสิทธิภาพก็คือประมาณหนึ่งถึงสองวินาที


ดังนั้นเราต้องการเวลาหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนที่สมองส่วนหน้าจะทำงานได้เต็มที่ และเราก็ต้องใช้เวลาต่อไปจากนั้นอีกหน่อยเพื่อคิดตามขั้นตอน 1-4 ตามข้างต้น ก็เป็นข้อสนับสนุนของคำแนะนำว่าเมื่อถามคำถามแล้วให้รอสามถึงห้าวินาที ซึ่งการรอสามถึงห้าวินาทีนี้ก็มีประโยชน์มากมาย เพราะคำตอบที่ได้จะยาวขึ้น สมบูรณ์ขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ภายหลังจากนั้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนจะเพิ่มขึ้น และกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ผุ้ถามเองก็ได้คำตอบที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับทั้งคู่นะครับ การตอบคำถามในสถานการณ์ของปธน.โอบามาก็ควรทำตามแนวคิดนี้เช่นกัน คือคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนตอบ และให้คำตอบที่มีเหตุมีผลและสมบูรณ์ที่สุดตามที่เวลาอำนวย ลองสังเกตว่าคำถามถัดไปในวีดีโอก็ต้องคิดพิจารณามากเช่นเดียวกัน(เริ่มต้นที่ 48:20) ซึ่งคำถามนี้ปธน.โอบามาใช้เวลาถึงสิบวินาทีก่อนจะเริ่มตอบ

แต่ ณ จุดนี้ผู้อ่านก็น่าจะมีข้อสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือ แล้วกรณีที่ตอบได้รวดเร็วทันทีล่ะ มันหมายถึงอะไร?

ผมคิดว่ามันมีได้สองเหตุผลครับ เหตุผลแรกคือผู้ตอบเคยตอบคำถามเดียวกันมาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะตอบได้เร็ว และเหตุผลที่สองก็คือคำถามเป็นคำถามแบบท่องจำ ผู้ตอบจึงไม่ต้องคิดพิจารณานัก นึกคำตอบออกก็ตอบได้เลย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของคำถามที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเจอเหตุการณ์ที่ใครตอบเราได้ภายในเวลาสั้นๆแล้วล่ะก็ ต้องลองคิดดูให้ดีๆนะครับว่าคำถามของเรานั้นง่ายเกินไปรึเปล่า

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ แล้วเราจะรอนานที่สุดเท่าไหร่? ซึ่งผมเองยังไม่เจองานวิจัยที่ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ที่ได้คุยกับหลายๆคนและได้เห็นตัวเลขที่ใช้กันทั่วๆไปแล้วก็มักจะอยู่ที่สิบวินาที คือถ้าถามไปแล้วสิบวินาทียังไม่มีใครยกมือ หรือคนตอบยังดูเก้ๆกังๆไม่รู้จะตอบยังไงล่ะก็ แสดงว่าน่าจะรอนานเกินไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคิดว่าผู้ตอบตอบไม่ได้ แต่อยู่ที่การกลับมามองคำถามของเราว่าเราถามรู้เรื่องไหม ให้ข้อมูลครบไหม เรียบเรียงคำถามใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องนะครับ

สรุปว่าภาพลักษณ์ของการตอบแบบไวสายฟ้าแลบ ตอบแบบสุดเทพภายในช่วงเวลาสั้นๆ มันเป็นแค่ความเชื่อครับ มีไว้แค่ให้หนังหรือละครน่าดูเท่านั้นแหละ แต่ไม่ตรงกับความจริง ในชีวิตจริงแล้วเวลาที่ควรรอคือห้าวินาที ถ้ารอถึงสิบวินาทีแล้วยังไม่มีคำตอบก็ลองพิจารณาสถานการณ์ และเรียบเรียงคำถามใหม่หรือไม่ก็ข้ามไปคำถามอื่นนะครับ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แก้ปัญหาผิดวิธี แก้ทั้งชาติก็ไม่จบ

- ชายคนหนึ่งมีปัญหาเพราะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้แฟน เขาพยายามพาแฟนไปช็อปปิ้งและกินอาหารหรูหราทุกครั้งที่มีโอกาส แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน

- บริษัทหนึ่งขัดแย้งกับลูกค้าเพราะเพราะลูกค้าไม่ค่อยให้ความเคารพการตัดสินใจของบริษัท และแม้บริษัทจะพยายามลดราคาสินค้าและบริการให้อยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็เป็นคู่ค้ากันต่อไปไม่ได้

- สามีภรรยาคู่หนึ่งพยายามจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตลูกมากเกินไป และแม้ว่าทั้งสามคนจะรักกันมาก แต่สุดท้ายแล้วลูกก็เลือกไปอยู่หอของมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตตามการตัดสินใจของตัวเอง

- เพื่อนสนิทสองคนรักผู้ชายคนเดียวกันแล้วตกลงกันไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไร และแม้ทั้งสองคนจะสนิทกันและเป็นเพื่อนกันมานาน แต่สุดท้ายก็ต้องหมางเมินกันไป

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยถ้าผมจะบอกว่าเรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และทุกท่านก็คงไม่แปลกใจถ้ามีใครมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง คำถามที่ผมอยากถามคือ เรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมีอะไรที่คล้ายกัน? ถ้าท่านตอบว่าทุกเรื่องมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ก็คงจะไม่ผิด ถ้าท่านตอบว่าคนในทุกเรื่องไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน แต่ผมอยากจะเสนอคำตอบหนึ่งให้ลองพิจารณากัน นั่นคือ "ทุกเรื่องใช้วิธีแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง"

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้อ่านบทความเรื่อง "Turning Negotiation into a Corporate Capability" เขียนโดย Danny Ertel ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review เมื่อปี 1999 (http://bit.ly/1By9VgW - ถ้าลงทะเบียนแล้วจะอ่านบทความได้ฟรีเดือนละห้าเรื่องนะครับ) ซึ่งในบทความนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ และมีความหมายเกี่ยวกับเรื่องทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมาก

Ertel เล่าถึงการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM สิ่งที่น่าสนใจในการเจรจาครั้งนี้ก็คือทั้งสองบริษัทแบ่งปัจจัยในการเจรจาออกเป็นสองส่วน คือ "ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง" (เช่น ราคา เงื่อนไขการจ้างงาน ความรวดเร็วของการส่งสินค้า) และ "ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์" (เช่น ความเชื่อใจที่มีให้กัน ความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่าย การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ) จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้กำหนดเงื่อนไขในการเจรจาขึ้นมาข้อหนึ่งว่า "ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยในส่วนหนึ่ง จะเอาปัจจัยในอีกส่วนหนึ่งมาแลกไม่ได้เด็ดขาด" ตัวอย่างเช่นถ้าสองบริษัทสื่อสารกันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ(ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์) ก็ห้ามใช้วิธีแก้ไขด้วยการลดราคา(ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง) เพราะจะลดราคาแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารดีขึ้น แต่ในทางกลับกันการลดราคาสามารถนำมาชดเชยการส่งของช้าได้(เป็นปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงทั้งคู่)

ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่สี่เรื่องทางด้านบน เราจะพบว่าสองเรื่องแรกนั้นเป็นปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์(ไม่มีเวลาให้กัน/ไม่มีความเคารพให้กัน) และแม้ว่าจะพยายามนำปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงมาชดเชยมากขนาดไหน(ซื้อของแพงๆให้/ลดราคาสินค้า) ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

ในทางกลับกันเรื่องที่สามและเรื่องที่สี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่มีปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง(บทบาทของพ่อแม่ในชีวิตลูกควรเป้นอย่างไร/จะทำอย่างไรเมื่อรักผู้ชายคนเดียวกัน) และแม้ว่าจะมีปัจจัยด้านความสัมพันธ์ที่ดี(ความรักในครอบครัว/ความเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน) ก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้จะบรรลุข้อตกลงได้

และนั่นก็ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการนำมุมมองที่เราได้จากการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM มาใช้ในชีวิตของเรา นั่นคือเราต้องตระหนักเสมอว่าปัจจัยสองประเภทนี้ต่างกัน และจะนำมาชดเชยกันไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ยั่งยืน(การลดราคาอาจดึงลูกค้าไว้ได้ชั่วคราว/การอ้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอาจดึงลูกให้อยู่ที่บ้านได้ชั่วคราว) แต่สุดท้ายแล้วแผลที่กลัดหนองก็จะต้องปะทุออกมาอยู่ดี

ตัวผมเองนั้นก็ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองหลังจากได้อ่านบทความนี้เช่นกัน ผมมีปัญหาระหองระแหงเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาตลอด และความผิดพลาดของผมก็คือผมใช้ปัจจัยเรื่องข้อตกลงมาชดเชยปัญหาเรื่องความสัมพันธ์อยู่เสมอ อีกเรื่องหนึ่งก็คือผมมีปัญหาเรื่องข้อตกลงบางอย่างกับที่บ้าน และแม้ว่าเราจะรักกันแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าความรักในครอบครัวจะทำให้เราบรรลุข้อตกลงกันได้ หลังจากได้อ่านบทความเรื่องนี้และรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดไป ผมก็คงจะลองกลับไปแก้ปัญหาอย่างถูกต้องดูครับ

สำหรับทุกท่านหลังจากอ่านจบแล้วก็ลองมองย้อนกลับไปในกรณีปัญหาต่างๆในชีวิตของเราดูครับ บางทีที่ผ่านมาเราอาจจะแก้ปัญหาผิดวิธีมาตลอดก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 5 - ตอนสุดท้าย)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO 
อ่านตอนที่สามได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1Kyup16 
อ่านตอนที่สี่ได้นี่ครับ http://bit.ly/1JWbITQ

ในตอนที่แล้วเราพูดถึงการสร้างสถานการณ์ในการเจรจาให้เป็น win-win คราวนี้เราจะมาพูดถึงวิธีหนึ่งในการเพิ่มอำนาจการต่อรองกัน และเป็นวิธีที่หลายๆคนอาจจะคิดไม่ถึง

เราจะทำอย่างไรถึงจะมีสร้างเงื่อนไขเจรจาที่เป็นประโยชน์กับเราได้มากที่สุด? คำตอบแรก(เท่าที่ผมคุยกับหลายๆคน)ก็คือการพยายามหาทางต่อรองให้อีกฝ่ายยอมตามเงื่อนไขที่เราต้องการ ซึ่งก็ไม่ใช่คำตอบที่ผิดครับ แต่เป็นคำตอบที่ทำได้ยากทีเดียว เพราะเมื่ออยู่ระหว่างการเจรจาแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องพยายามหาทางเจรจาให้ได้เงื่อนไขตามที่ตัวเองต้องการเช่นกัน ทั้งเราทั้งเขาก็พยายามจะหาทางให้ได้ประโยชน์จากการเจรจาทั้งคู่ การจะต่อรองให้เหนือกว่าแบบตรงๆนั้นมันไม่ง่ายหรอก

คำตอบที่ถูกต้องกว่า(ซึ่งบ่อยครั้งทำได้ง่ายกว่าด้วย)แต่สร้างผลได้มากเหลือเชื่อคือ “การพัฒนา BATNA ของเรา” (อ่านเรื่องของ BATNA ได้ในตอนที่สาม)

ลองคิดกันดูให้ดีๆ ในการเจรจาแต่ละครั้งนั้นคนที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุดน่าจะเป็นยังไงครับ?

ติ๊กต่อก

คนที่มีอำนาจต่อรองสูงที่สุด ก็คือคนที่สามารถจะเดินออกมาจากการเจรจาได้โดยไม่ต้องแคร์อะไรเลย ผมมีตัวอย่างจะเล่าให้ฟังครับ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเปิดร้านสัปดาห์ละหกวัน แต่ละวันต้องการพนักงานส่งของช่วงเย็นหนึ่งคน มีลูกจ้างรายวันอยู่สองคนที่ทำงานประจำตอนกลางวันและมาทำหน้าที่ส่งของตอนเย็นแบ่งกันคนละสามวัน ลูกจ้างก.มีปัญหาว่ามาสายแทบจะตลอด เพื่อนผมคนนี้มีปัญหากับพฤติกรรมของลูกจ้างก.มาก และแม้จะพยายามเจรจาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องมาสายมากแค่ไหนก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะลูกจ้างก.ก็รู้ว่าการจะไล่ออกนั้นทำไม่ได้เพราะคนใหม่หายาก ครั้นจะหวังพึ่งลูกจ้างข.คนเดียวก็ไม่ได้อีก ความสนใจหลักของเพื่อนคนนี้จึงอยู่ที่การจะตกลงกับลูกจ้างก.ให้เลิกมาสายให้ได้

สิ่งที่ผมบอกเพื่อนคนนี้ก็คือตอนนี้เจรจากับลูกจ้างก.ไปก็ไม่ได้อะไร ดังนั้นณ จุดนี้ไม่ต้องไปสนใจลูกจ้างก.มาก แต่ให้เปลี่ยนแนวด้วยการไปคุยกับลูกจ้างข.แทน ให้ลองถามลูกจ้างข.ว่ามาทำงานบ่อยกว่านี้ได้ไหม ถ้าโทรเรียกจะสามารถมาได้เลยมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าลูกจ้างข.ก็มีงานอื่นหรือไม่ก็อยากพักผ่อนบ้าง ดังนั้นจะให้มาตอนเย็นทั้งหกวันไม่ไหว ก็ให้ขอว่าไม่ต้องทำตลอดก็ได้ ขอแค่ให้ภายในเวลาสองสัปดาห์ต่อไปพร้อมจะมาแทนลูกจ้างก.เมื่อไหร่ก็ได้ที่โทรเรียก

และผมบอกต่อไปว่าถ้าลูกจ้างข.ตกลงแล้วว่าให้โทรเรียกตอนเย็นวันไหนก็ได้ ก็ไปบอกลูกจ้างก.ว่าต่อไปวันไหนถ้ามาสาย ก็จะให้กลับไปเลย เมื่อถึงเวลาลูกจ้างก.มาสายแล้วโดนไล่ให้กลับบ้าน แล้วก็ได้เห็นว่าเจ้านายโทรเรียกลูกจ้างข.มาทำแทนได้ทันที คราวนี้แหละลูกจ้างก.จะต้องเต้นผางเลยทีเดียว เพราะเจ้านายไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมาต่อรองกับตัวเองอีกแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือเจ้านายสามารถเดินออกมาจากการเจรจาเมื่อไหร่ก็ได้โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องแคร์เลย

และแน่นอนเราไม่มีความจำเป็นต้องให้ลูกจ้างก.รู้ว่าลูกจ้างข.ทำแบบนี้ได้แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น สิ่งที่เราทำคือทำให้ลูกจ้างก.เชื่อว่าเจ้านายไม่มีความจำเป็นใดๆต้องแคร์ แค่นั้นลูกจ้างก.ก็จะต้องยอมแทบจะทุกอย่าง และนี่คืออำนาจในการเจรจาที่ได้เพิ่มขึ้นจากการพัฒนา BATNA ของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องแตะต้องการเจรจาหลักที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยซ้ำ เมื่อเรามี BATNA ที่ดีขึ้นแล้วอำนาจในการเจรจาก็จะเพิ่มขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

การพัฒนา BATNA นั้นทำได้ด้วยหลายวิธี เช่นการพยายามหาตัวเลือกอื่นๆ การสร้างพันธมิตร การพัฒนาขีดความสามารถของตัวเอง ฯลฯ แต่ในจุดนี้ผมอยากจะพูดถึงการสร้างพันธมิตรเพราะดูจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยทำพลาดมากที่สุดในกรณีปัญหาชาวโรฮิงญา

รัฐบาลไทยนั้นทำตัวโดดเดี่ยวและพยายามที่จะเอาตัวรอดจากกรณีปัญหาชาวโรฮิงญาได้ด้วยการไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เมื่อเลือกที่จะเล่นเกมแบบนี้แล้วนั้นผลก็คือ BATNA ของประเทศไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวังแล้วประเทศไทยก็จะต้องถูกบีบคั้นจากทุกฝ่าย และไม่มีใครเป็นพวกเลย สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยควรจะเริ่มทำตั้งแต่ต้นก็คือการสร้างพันธมิตร โดยหาผู้ที่มีความต้องการใกล้เคียงกับตัวเองและทำการตกลงสร้างความเข้าใจกัน เช่นจับมือกับมาเลเซียและอินโดนีเซียตั้งแต่ต้นเพื่อกดดันเมียนมาร์ หรือจับมือกับ UNHCR และ NGO ตั้งแต่ต้นเพื่อเตรียมแผนการดูแลผู้อพยพและผลักแรงกดดันจากนานาชาติให้ไปทางประเทศอื่นแทน เมื่อมีพันธมิตรที่ตกลงกันได้แล้ว BATNA ของเราก็จะดีขึ้นเพราะกรณีที่เจรจาไม่สำเร็จก็ยังมีพันธมิตรคอยช่วยรับแรงกดดันและเฉลี่ยผลกระทบที่เกิดขึ้น และเมื่อนั้นอำนาจการต่อรองในการเจรจาหลักก็จะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

แต่เมื่อรัฐบาลไทยไม่มีความพยายามในการสร้างพันธมิตร และไม่มีความพยายามในการพัฒนา BATNA ของตัวเองด้วยวิถีทางอื่นๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วประเทศไทยจะโดนแรงกดดันจากภายนอกซัดซะจนอ่อนยวบยาบ จนสุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองเข้าสู่เวทีการเจรจาด้วยภาวะจำยอม และต้องยอมรับ BATNA ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คือไม่มีเพื่อน ไม่มีทางเลือก และแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองใดๆเลย

ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับห้าตอนนี้ หวังว่าชุดบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านนะครับ คิดเห็นอะไรก็คุยกันได้เลยครับ

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 4)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3 
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO 
อ่านตอนที่สามได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1Kyup16 

ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึง BATNA, Reservation Price และ ZOPA แต่ผมได้พูดถึงในรูปแบบที่ง่ายหน่อย นั่นคือผมพูดถึงประเด็นเดียวในแง่เงินเดือนเท่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริงเงื่อนไขในการเจรจานั้นมีมากกว่าหนึ่งประเด็นเสมอ และนั่นเป็นหลักการอีกข้อหนึ่งที่สำคัญ

หลักการข้อที่สี่ หาเงื่อนไขและมุมมองในการเจรจาที่สร้างสรรค์เพื่อสร้าง Integrative Negotiation และหลีกเลี่ยง Distributive Negotiation

เรามาเริ่มต้นกันก่อนว่า Distributive Negotiation คืออะไร อีกชื่อหนึ่งของที่เรามักจะรู้จักกันดีกว่าก็คือ zero-sum game นั่นคือเกมที่ผลรวมเป็นศูนย์ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่หากฝ่ายหนึ่งได้อะไรเพิ่ม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเสียเพิ่ม ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถานการณ์การเจรจาเงินเดือนในตอนก่อนเราก็จะเห็นว่าทุกบาทที่เราได้เพิ่มคือหนึ่งบาทที่บริษัทจะต้องเสียเพิ่ม และไม่มีทางออกอื่นใด นี่คือสถานการณ์ที่ผลรวมเป็นศูนย์ (ผลรวมระหว่างลบหนึ่งบาทกับเพิ่มหนึ่งบาทเท่ากับศูนย์)

ในทางกลับกัน Integrative Negotiation ก็คือ non zero-sum game นั่นคือผลรวมไม่เท่ากับศูนย์ และทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะได้ประโยชน์ทั้งคู่ (ที่เรียกกันทั่วไปว่า win-win) แต่ในเมื่อเงินเดือนทุกบาทที่เราได้เพิ่มคือหนึ่งบาทที่บริษัทต้องจ่ายเพิ่ม แล้วจะได้ประโยชน์ทั้งคู่ได้อย่างไร?

Win-win นั้นเกิดขึ้นได้เพราะประเด็นในการเจรจานั้นมีได้หลากหลายเรื่อง และแต่ละฝ่ายให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน ลองย้อนกลับไปดูการเจรจาเงินเดือนที่พูดถึงเมื่อตอนก่อนกันอีกที สมมติว่ามีประเด็นในเรื่องของสถานที่ทำงานและการทำงานล่วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างหนึ่งของสถานการณ์การเจรจาอาจเป็นเช่นนี้
  • เรามีความต้องการเงินเดือนสูงเพราะต้องการย้ายไปอยู่ห้องเช่าที่ดีกว่าเดิม
  • บริษัทขาดคนที่สาขาใดสาขาหนึ่งเป็นพิเศษ
  • บริษัทต้องการคนที่จะทำงานล่วงเวลา

ถ้าเราไม่มีปัญหากับการไปทำงานในสาขาที่บริษัทต้องการ และไม่มีปัญหากับการทำงานล่วงเวลา เราก็จะมีโอกาสในการขอเงินเดือนที่สูงขึ้นได้ การเจรจาแบบนี้เป็น integrative negotiation เพราะเราสละสิ่งที่มีความหมายน้อยกว่า (ที่ทำงานและการทำงานล่วงเวลา) แลกกับสิ่งที่มีความหมายมากกว่า (เงินเดือน) ในขณะที่บริษัทสละสิ่งที่มีความหมายน้อยกว่า (เงินเดือน) แลกกับสิ่งที่มีความหมายมากกว่า (แรงงานในสาขาที่ขาดคนและแรงงานล่วงเวลา)

ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นการเจรจามีได้หลากหลายประเด็นเสมอ และกุญแจสำคัญของการสร้างสถานการณ์ที่ win-win ก็คือการเรียนรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกับเรา และสิ่งไหนสำคัญกับอีกฝ่ายหนึ่ง การเจรจาแบบนี้นอกจากจะทำให้แต่ละฝ่ายได้ประโยชน์มากขึ้นแล้วยังช่วยในการเพิ่มความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่มีต่อกันอีกด้วย

ในทางกลับกันแม้ว่าการเจรจาจะมีหลากหลายประเด็น แต่หากผู้เจรจาพยายามจะเอาเสียทุกอย่าง และไม่ยอมสละบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง สถานการณ์ก็จะกลับมาเป็น zero-sum เหมือนเดิม ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่มีให้กันก็จะถดถอย และนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลไทยทำกับปัญหาเรื่องโรฮิงญา รัฐบาลไทยนั้นไม่ได้ใช้ความสร้างสรรค์ในการเจรจาเลย อะไรๆก็บอกแต่ว่าไม่มีที่รับ ไม่มีเงินจ่าย ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าใช้ความสร้างสรรค์สักหน่อยก็น่าจะสามารถสร้างประโยชน์ได้เยอะจากการเจรจานี้ เช่นยอมรับผู้ลี้ภัยเป็นการชั่วคราวโดยแลกกับ
  • เงินสนับสนุนจาก UNHCR
  • ความช่วยเหลือจาก NGO
  • การลดแรงกดดันทางการเมืองจากสหรัฐฯ
  • การยุติมาตรการคว่ำบาตรจากอียู
  • ผลักแรงกดดันไปให้อินโดนีเซียและมาเลเซียต้องยอมรับผู้ลี้ภัยในระยะยาว
  • ผลักแรงกดดันไปให้เมียนมาร์ต้องทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ในประเทศตนเอง
  • ฯลฯ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้การเจรจาเรื่องโรฮิงญาตกอยู่ในสภาวะ zero-sum และเป็นผลให้รัฐบาลไทยต้องสูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากฝ่ายอื่นๆในที่สุด

ครั้งหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 3)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3
อ่านตอนที่สองได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJu8aO

ในตอนที่แล้วผมพูดถึงว่ารัฐบาลไทยอาจจะมีความหวังว่าปัญหาโรฮิงญาจะผ่านไปได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมใดๆ ซึ่งผมบอกไว้ว่าเป็นการมองโลกที่ง่ายเกินไป เหตุผลสำคัญที่สุดก็เพราะว่ารัฐบาลไทยประเมินสองสิ่งสำคัญข้างล่างนี้ผิดไปครับ

หลักการข้อที่สาม ศึกษา BATNA และ Reservation Point ทั้งของตนเองและผู้อื่น เพื่อนำมาระบุ ZOPA
เรามาเริ่มต้นกันก่อนว่า BATNA คืออะไร คำเต็มๆก็คือ “Best Alternative to a Negotiated Agreement” หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณ “ตัวเลือกอื่นที่ดีที่สุดถ้าเจรจาไม่สำเร็จ” ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าสมมติเราทำงานอยู่ที่บริษัท ก. และได้เงินเดือนสองหมื่นบาท แต่เราอยากได้เงินเดือนเพิ่มเราจึงไปสมัครงานและเจรจาเงินเดือนกับบริษัท ข. ถ้าเราเจรจาสำเร็จและได้เงินเดือนมากกว่าเดิมเราก็จะย้ายไปทำงานกับบริษัท ข. แต่ถ้าการเจรจากับบริษัท ข. ล้มเหลวเราก็จะทำงานต่อไปที่บริษัท ก. ดังนั้น BATNA  ของเราในกรณีนี้ก็คือการทำงานต่อกับบริษัท ก. และรับเงินเดือนสองหมื่นบาท

การรู้ BATNA นั้นจะช่วยให้เราสามารถกำหนดสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการเจรจา นั่นคือ Reservation Point ซึ่งหมายถึงจุดที่เราจะยอมไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ในตัวอย่างของการเจรจาเงินเดือนข้างต้นนั้นเราเริ่มต้นที่ BATNA แล้วบวกค่าเสียเวลาย้ายงาน ค่าเสียความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและบริษัทเก่า เราอาจจะสรุปว่า Reservation Point ของเราคือเราต้องได้เงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาท ณ จุดนี้เราก็จะเจรจากับบริษัท ข. โดยรู้ตัวว่าถ้าบริษัท ข. ไม่ยอมตกลงที่เงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาทขึ้นไปเราก็จะไม่ตกลง และจะเป็นการดีกว่าถ้าเราจะทำงานที่บริษัท ก. ต่อไป

ความผิดพลาดของรัฐบาลไทยก็คือเข้าใจ BATNA ของตัวเองผิด (หรืออาจจะไม่เคยคิดถึง ฺBATNA เลย) การที่รัฐบาลเอาแต่ปฏิเสธการเจรจาและไม่ให้ความร่วมมือกับใครก็เป็นการฟ้องว่ารัฐบาลเชื่อว่า BATNA ของตัวเองคือประเทศไทยจะรอดตัวไปได้เฉยๆโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แน่นอนว่าถ้าเราคิดดูกันให้ดีแล้วก็จะรู้ว่า BATNA ของประเทศไทยแย่กว่านั้นเยอะ ถ้ารัฐบาลไทยไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจาแก้ไขปัญหาโรฮิงญาแล้วการกดดันจากนานาชาติก็จะดำเนินต่อไป ชาวโรฮิงญาก็จะยังลอยคออยู่ในน่านน้ำไทยอยู่ดี และภาพลักษณ์รวมถึงสถานภาพในโลกก็มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ อียูก็มีโอกาสสูงที่จะยุติการซื้อผลผลิตประมงของไทย คนที่เลือกจะเล่นตัวไม่ยอมเจรจาไดมีแค่คนที่รู้ว่า BATNA ของตัวเองดีอยู่แล้วเท่านั้น ถ้า ฺBATNA ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบประเทศไทยแล้วล่ะก็มีแต่ต้องยอมเจรจากันเท่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลไทยดูจะไม่ได้พยายามทำเลยก็คือการเรียนรู้ BATNA และ Reservation Point ของผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไหนจะยอมบอกออกมาตรงๆว่า BATNA และ Reservation Point ของตัวเองคืออะไร เพราะนั่นจะเป็นข้อมูลให้อีกฝ่ายใช้เป็นประโยชน์ได้ ตัวอย่างเช่นถ้าบริษัท ข. รู้ว่าเรายินดีจะรับเงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาท บริษัท ข. ก็คงจะยื่นข้อเสนอสองหมื่นห้าพันบาทให้เราโดยไม่ลังเล และเราก็จะเสียโอกาสในการเรียกเงินเดือนที่สูงกว่านั้น

แต่เมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทาง วิธีพูด ปฏิกิริยาตอบสนอง เราก็จะพอบอกได้ว่า BATNA และ Reservation Point ของอีกฝ่ายอยู่ที่ประมาณไหน และเมื่อเราพอจะรู้ Reservation Point ของอีกฝ่ายแบบคร่าวๆแล้วเราก็จะรู้ ZOPA (Zone of Possible Agreement) ซึ่งก็แปลว่า “โซนที่ตกลงกันได้” ตัวอย่างเช่นถ้าเราดูปฏิกิริยาของบริษัท ข. แล้วกะได้ว่าบริษัท ข. จะไม่ให้เงินเดือนเราเกินกว่าสามหมื่นบาท ZOPA ระหว่างเรากับบริษัท ข. ก็คือระหว่าง 25,000 – 30,000 บาท นั่นคือถ้าตัวเลขเงินเดือนตกอยู่ในช่วงนี้ การเจรจาระหว่างเรากับบริษัท ข. ก็จะบรรลุข้อตกลง และถ้าเราประเมินตรงนี้ได้ดี เราอาจจะเรียกเงินเดือนได้สูงถึงสามหมื่นบาท

แน่นอนว่าประเทศไทยนั้นไม่เคยเริ่มคุยกับใคร ถ้าไม่เคยเริ่มคุยกับใครก็ยากนักที่จะรู้ว่า Reservation Point ของคนอื่นอยู่ที่ไหน เมื่อไม่รู้ Reservation Point แล้วก็ไม่รู้ ZOPA และ ณ จุดนั้นการเจรจาก็เป็นไปไม่ได้เลย สรุปแล้วในหัวข้อนี้นั้นรัฐบาลไทยทำผิดถึงสามกระทงด้วยกัน
  • ไม่ประเมิน BATNA และ Reservation Point ของตัวเอง
  • เล่นตัวไม่ยอมเจรจาทั้งที่ BATNA ของตัวเองนั้นต่ำเตี้ยมาก
  • ไม่ประเมิน Reservation Point ของผู้อื่นและไม่ประเมิน ZOPA

ผลของการไม่ยอมประเมิน BATNA ตั้งแต่แรกก็ทำให้รัฐบาลไทยต้องเรียนรู้ BATNA อย่างเจ็บๆเมื่อสถานการณ์บีบคั้นจนต้องรู้สึกตัวว่าไม่มีทางเลือกอื่น

แน่นอนว่าในบางกรณีนั้น Reservation Point ของสองฝ่ายจะคร่อมกัน ซึ่งก็หมายความว่าไม่มี ZOPA ให้ตกลงกันได้ ตัวอย่างเช่นเรายอมรับเงินเดือนต่ำสุดได้รสองหมื่นห้าพันบาทแต่บริษัทยอมจ่ายให้ได้สูงสุดแค่สองหมื่นสามพันบาท เช่นนี้การเจรจาจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องเรียนรู้เสียก่อนว่าการเจรจาเป็นไปได้หรือไม่ ไม่ใช่ตัดสินไปล่วงหน้าว่าไม่มีวันตกลงกันได้ เมื่อประเทศไทยปฏิเสธท่าเดียว ไม่สนใจจะพูดคุยอะไรกับใครเลย ก็ไม่มีวันที่จะรู้ได้ว่า BATNA และ Reservation Point ของอีกฝ่ายคืออะไร และเมื่อไม่รู้สองอย่างนี้ก็จะไม่มีวันรู้ ZOPA และนั่นก็ปิดประตูของการเจรจา โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าการเจรจาอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 2)

อ่านตอนที่หนึ่งได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1HJQKW3

มาต่อตอนที่สองกันนะครับ หลักการข้อที่สองคือ รวมผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา

นี่ก็เป็นหลักการอีกข้อหนึ่งที่สำคัญแต่รัฐบาลไทยได้มองข้ามไปอย่างมาก บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องรวมทุกกลุ่มเข้ามาด้วย มันวุ่นวายและเสียเวลา จะตกลงกันให้ได้ก็ยากขึ้นไปกว่าเดิมอีก สู้ตกลงกันระหว่างกลุ่มใหญ่ๆไม่กี่กลุ่มง่ายกว่ากันเยอะ แล้วค่อยให้กลุ่มเล็กๆมาทำตามมติกลุ่มใหญ่อีกที

ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ลองนึกดูว่าถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนได้เสียในประเด็นปัญหาบางอย่าง แต่ตอนที่เขาเจรจากันท่านกลับถูกกีดกันไม่ให้ร่วม แล้วพอเขาเจรจากันเสร็จเขาก็มาบอกให้ท่านทำตามสิ่งที่เขาคิดกันมาแล้ว ท่านจะยินดีทำสิ่งนั้นหรือไม่? และต่อให้ท่านยอมทำ ท่านจะทำเต็มความสามารถหรือไม่? การจะให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มเห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขปัญหาและยอมทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นก็มีแต่ต้องให้เกียรติเขาโดยรวมเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา

แต่แน่นอนว่าการรวมทุกฝ่ายเข้ามานั้นไม่ได้หมายความว่าต้องมานั่งพร้อมหน้ากันทุกครั้งเสมอไป การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้กระบวนการเจรจานั้นทำได้ยากเกินไป แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีโอกาสได้ออกความเห็น ได้มีปากเสียงในการกำหนดบทสรุปของการเจรจา อาจจะทำโดยให้กลุ่มใหญ่บางกลุ่มพูดคุยกับกลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่มก่อน แล้วเป็นผู้รวบรวมความเห็นของกลุ่มเล็กๆเหล่านั้นไปนำเสนอในที่ประชุมหลักอีกทีหนึ่งก็ได้

บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มด้วย ปล่อยๆบางกลุ่มไปไม่ได้หรือไงกัน? คำตอบก็คือเราควรจะตระหนักไว้เสมอว่าผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายนั้นมีบางอย่างที่ฝ่ายอื่นไม่มี และการที่แต่ละฝ่ายมีส่วนพิเศษในการช่วยเติมเต็มหนทางแก้ปัญหานั้นก็ทำให้ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ลองดูรายละเอียดของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละฝ่ายในปัญหาชาวโรฮิงญาได้ทางด้านล่าง

  • ประเทศทั้งหลายมีที่ดินให้ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยได้
  • United Nations High Commissioner for Refugees (ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) มีเงินสนับสนุน
  • เมียนมาร์เป็นถิ่นเกิดของชาวโรฮิงญา และมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว
  • ไทยมีตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมายของชาวโรฮิงญา และยังใกล้กับเรือที่ลอยอยู่ในทะเลอันดามันมากที่สุดในปัจจุบัน
  • มาเลเซียและอินโดนีเซียมีกลุ่มชนมุสลิมที่พร้อมจะรับชาวโรฮิงญามากกว่าชาวพุทธในไทย
  • อียูมีอำนาจการตัดสินใจคว่ำบาตรประเทศไทยหรือถอนประเทศไทยจากกลุ่มเสี่ยงในการคว่ำบาตร
  • สหรัฐฯมีฐานอำนาจในการเมืองโลก และประเทศที่ได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯจะมีตำแหน่งที่มั่นคงขึ้นในเวทีโลก
  • NGO ทั้งหลายมีความรู้ ประสบการณ์ บุคลากร และเครือข่าย
  • แม้แต่ชาวโรฮิงญาเองก็มีความสำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยอมรับในระยะยาว

จะเห็นว่าไม่ได้มีฝ่ายไหนเลยที่ไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์นี้ ดังนั้นการที่จะได้ทางออกที่ดีที่สุดย่อมเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างทุกฝ่าย เมื่อใดที่ฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งถูกกีดกันออกไปฝ่ายนั้นก็มีแนวโน้มสูงขึ้นว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้ปัญหามีแต่แย่ลง แต่ในทางกลับกันถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันได้ก็จะได้ประโยชน์กันทั้งหมด กุญแจสำคัญอยู่ที่การเริ่มต้นโดย “วางการเจรจาให้อยู่ในรูปแบบของการแก้ไขปัญหาร่วมกัน” และตามด้วย “รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา”

และในหลักการข้อที่สองนี้รัฐบาลไทยก็ทำผิดพลาดไปอย่างยิ่งเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยไม่เคยรวมใครเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจาเลย มีแต่จะผลักทุกคนออกไป และแยกตัวเองออกมาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ทุกครั้งที่รัฐบาลไทยผลักไสไล่ส่งคนอื่นออกไปก็มีแต่จะทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้น
  • ยิ่งผลักปัญหาให้เมียนมาร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็ยิ่งลดโอกาสในการที่ประเทศเหล่านี้จะให้ความร่วมมือ และยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ในภูมิภาคแย่ลงไปกว่าเดิม
  • ยิ่งกีดกันอียู ก็ยิ่งเสี่ยงจะโดนคว่ำบาตรมากขึ้น
  • ยิ่งผลักไส UNHCR ก็ยิ่งจะทำให้เงินสนับสนุนไหลออกไปประเทศอื่น
  • ยิ่งต่อว่าสหรัฐฯ ก็ยิ่งจะทำให้ตำแหน่งของประเทศในเวทีโลกลดต่ำลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งขัด NGO ก็ยิ่งทำให้ความช่วยเหลือมีน้อยลงเรื่อยๆ
  • ยิ่งกนด่าชาวโรฮิงญา ก็ยิ่งจะเสริมความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันให้สูงขึ้น

รัฐบาลไทยอาจจะทำเช่นนี้เพราะหวังว่าปัญหาต่างๆจะผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ต้องเปลืองตัว จึงเลือกที่จะแยกตัวเองออกมาและผลักไสผู้อื่นออกไป แต่มันดูจะเป็นการมองโลกที่ง่ายเกินไป และนี่เป็นความผิดพลาดข้อที่สามซึ่งเราจะมาคุยต่อในตอนหน้ากัน

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้หลักการเจรจาผ่านปัญหาชาวโรฮิงญา (ตอนที่ 1)

ผมมีโอกาสได้เรียนวิชาการเจรจามาครับ และผมไม่ได้คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นสุดยอดนักเจรจาแต่อย่างใด เพียงแค่ผมคิดว่ามีหลักข้อคิดหลายๆอย่างเกี่ยวกับการเจรจาที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการเอามาเล่าสู่กันฟัง แต่จะเล่าให้ฟังเฉยๆมันก็ออกจะน่าเบื่อ ต้องมีกรณีศึกษามาเป็นบริบทในการพูดคุยบ้างจะช่วยให้การเล่าทั้งสนุกและไหลลื่นมากขึ้น แต่กรณีศึกษาอะไรที่จะเอามาเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาได้?

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาอย่างประจวบเหมาะก็คือกรณีผู้อพยพชาวโรฮิงญา ซึ่งเหมาะสมจะเอามาใช้ประกอบการเล่าเกี่ยวกับหลักการเจรจาอย่างยิ่งเพราะมีส่วนประกอบต่างๆอันสำคัญต่อการเจรจาที่รัฐบาลไทยทำพลาดไปหลายจุดมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วไปได้ยินได้ฟังกันเยอะแล้วทำให้ไม่ต้องเล่ารายละเอียดมาก

ผมจะขอเริ่มต้นตรงจุดที่ชาวโรฮิงญาขึ้นเรือมาจากรัฐยะไข่ในประเทศเมียนมาร์ และต้องมาถูกทิ้งให้ลอยคออยู่บนเรือกลางทะเลอันดามัน ในขณะเดียวกันนานาประเทศรวมทั้งสหประชาชาติก็มีการเรียกร้องให้ประเทศเมียนมาร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียร่วมกันหาทางออก

หลักการข้อที่หนึ่ง วางการเจรจาให้เป็นการแก้ปัญหาร่วมกัน
ในภาษาไทยนั้นมีชุดคำที่ความหมายคล้ายคลึงกันอยู่ชุดหนึ่ง นั่นคือ การโต้เถียง การต่อรอง การเจรจา การแก้ปัญหาร่วมกัน ทั้งสี่คำนี้มีความหมายคล้ายคลึงกันในแง่ที่ว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น และมีกลุ่มบุคคลอย่างน้อยสองกลุ่มกำลังพยายามจะคลี่คลายปัญหานั้น โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็เสียประโยชน์ให้น้อยที่สุด แต่แม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันสี่คำนี้ก็มีส่วนที่แตกต่างกันในแง่ของระดับความสร้างสรรค์ในการคลี่คลายปัญหา อารมณ์ที่ใส่เข้าไป และความเชื่อถือที่มีให้กัน

ถ้าเราใช้คำว่าการโต้เถียงนั้นเราก็จะเห็นภาพบุคคลหรือกลุ่มบุคคลระเบิดอารมณ์เข้าใส่กัน ไม่มีใครคิดอะไรออกนอกจากการเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่มีความเชื่อถือใดๆให้กัน ซึ่งนี่เป็นรูปแบบที่แย่ที่สุดในการคลี่คลายปัญหา ผลที่ได้ออกมานั้นบ่อยครั้งจะเป็นการแตกหัก และเสียโอกาสกันทั้งคู่

เมื่อเราค่อยๆขยับห่างจากคำว่าโต้เถียงออกมาระดับของอารมณ์ที่ใส่เข้าไปในการคลี่คลายปัญหานั้นก็จะค่อยๆน้อยลงไป ความต้องการเอาชนะก็จะค่อยๆน้อยลงไปด้วย แต่ความเชื่อถือที่มีให้กันจะเพิ่มขึ้น เมื่อเรามาจนถึงอีกขั้วหนึ่งคือ “การแก้ปัญหาร่วมกัน” แล้วล่ะก็ ภาพที่เราเห็นก็จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อถือให้กันและกันซึ่งพยายามจะหาทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่ได้นำอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา ซึ่งนี่เป็นแนวทางที่ให้ประโยชน์สูงสุด และสร้างโอกาสในการคลี่คลายปัญหาได้มากที่สุด

เราจะเห็นว่าในปัญหาเรื่องโรฮิงญานั้นรัฐบาลไทยไม่เคยมีท่าที่ที่จะขยับไปใกล้การแก้ปัญหาร่วมกันเลย จริงๆแล้วอย่าว่าแต่จะไปให้ถึงการแก้ปัญหาร่วมกันเลย รัฐบาลไทยไม่เคยขยับออกจากการโต้เถียงด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำมีแต่การแย้งว่าทำไมผู้อื่นเป็นฝ่ายผิด และไม่เคยมีท่าทีของความเป็นมิตรหรือท่าทีในการให้ความเคารพกับผู้อื่นเลย แค่ข้อแรกก็ตกแล้ว จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ผลลัพธ์ของเรื่องโรฮิงญาคือรัฐบาลและประเทศนั้นต้องเจ็บหนักมาก เสียหายทั้งภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และตำแหน่งในเวทีโลก

บางคนอาจจะบอกว่าก็เราไม่ผิด ไม่เห็นจำเป็นต้องสน ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ใครจะไม่ชอบเราก็เรื่องของเขา สำหรับผู้ที่คิดอย่างนี้ผมก็ขออวยพรให้คุณโชคดีนะครับ เพราะการที่คุณจะเติบโตในชีวิตได้ด้วยแนวคิดแบบนี้นั้นคุณคงต้องการโชคเอามากๆเลยล่ะ แนวคิด "แตกเป็นแตก หักเป็นหัก" นั้นอาจจะ “ถูกใจ” แต่ยากเหลือเกินที่จะ “ถูกต้อง”

แค่ข้อแรกก็ยาวขนาดนี้แล้ว ข้อต่อๆไปเอาไว้โพสต์หน้าแล้วกันนะครับ