วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

ประเด็นการเหยียบย่ำธงชาติที่อเมริกา

วันศุกร์ที่ 24 เมษายนที่ผ่านมามีกรณีขัดแย้งที่น่าสนใจเกิดขึ้นที่อเมริกา นักศึกษาที่ Valdosta State University ในรัฐ Georgia ได้จัดการประท้วงในประเด็นการเหยียดผิว ซึ่งการประท้วงนี้ได้ผ่านการอนุญาตจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้ว (http://huff.to/1J1tPoX)

ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นตอนที่นักศึกษาทำการเหยียบย่ำธงชาติสหรัฐระหว่างการประท้วง และมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาแย้งธงไปด้วยเหตุผลว่า "ธงชาติเป็นของทุกคน ไม่ควรเอามาทำแบบนี้" ซึ่งนักศึกษาก็ขอคืน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่คืน จนกระทั่งตำรวจต้องมาขอคืน ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่คืน จนตำรวจต้องจับกุมผู้หญิงคนนี้ด้วยข้อหา "ลักทรัพย์" เพื่อคืนธงให้กับนักศึกษา! (แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนี้ถูกปล่อยตัวและไม่ได้ถูกตั้งข้อหา) ซึ่งเสียงในสังคมส่วนใหญ่ก็พูดว่าผู้หญิงคนนี้ทำไม่ถูกต้องที่ไปแย่งธงมา

ประเด็นที่สำคัญก็คือรัฐธรรมนูญอเมริกานั้นมีกำหนดเอาไว้ว่า "เสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการชุมนุมอย่างสันตินั้นจะถูกขัดไม่ได้" และคำว่า "อย่างสันติ" ก็หมายถึง "ไม่ได้ละเมิดซึ่งสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น" การประท้วงครั้งนี้ได้รับอนุญาตเพราะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยถือว่าการชุมนุมในรูปแบบนี้นั้นเป็นการชุมนุมอย่างสันติ (การเหยียบธงไม่ได้ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นแต่อย่างใด) และอเมริกาก็ไม่ได้มีกฎหมายห้ามการเหยียบย่ำธงชาติ นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีสิทธิในการขัดการประท้วงครั้งนี้ และตำรวจก็มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องสิทธินี้ของนักศึกษา

เนื่องจากประเทศไทยนั้นมีกฎหมายห้ามเหยียบย่ำธงชาติ (http://bit.ly/1Jticu4) ดังนั้นการประท้วงโดยการเหยียบย่ำธงชาติในประเทศไทยนั้นก็จะเป็นเรื่องผิดกฎหมายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะลองยกตัวอย่างเทียบเคียงก็คงจะเป็นพระหรือสิ่งสักการะทางศาสนา ถ้าสมมติว่ามีกลุ่มนักศึกษาทำการประท้วงโดยการเหยียบย่ำพระเครื่องนั้น ผมเชื่อว่าน่าจะต้องมีคนเข้าไปห้ามด้วยเหตุผลว่า "พระเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรเอามาทำแบบนี้" และจะต้องมีหลายคนที่เห็นด้วยกับคนที่เข้าไปห้าม แล้วถ้าตำรวจมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตำรวจจะจับกุมคนที่เข้าไปห้าม แม้ว่าจริงๆตามกฎหมายแล้วเจ้าของย่อมมีสิทธิเต็มที่ในการเหยียบย่ำพระเครื่องของตนเอง

ประเทศไทยนั้นมีวิธีปฏิบัติที่ไม่ได้ยึดถือแบบตรงตามตัวอักษร แต่มีการนำเอาแนวคิดในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่ามันไม่ดีเพราะเป็นการตีความนอกกฎหมายที่ระบุไว้ แต่บางคนก็อาจจะบอกว่ามันดีเพราะกฎหมายย่อมไม่สามารถครอบคลุมเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในสังคมได้ทั้งหมด ผมเองไม่ได้จะมาบอกให้เชื่อว่าอันไหนดีกว่าอันไหน แต่แค่จะมาชี้ให้เห็นว่าเรามีหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนในชีวิตประจำวันว่ารูปแบบการคิดพิจารณาต่างๆในสังคมไทยนั้นไม่ได้ตรงไปตรงมาตามตัวหนังสือที่เขียนไว้ สังคมไทยอาจจะชอบแบบนี้ แต่นั่นก็หมายความว่าเราต้องยอมรับที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความไม่แน่นอน เพราะเมื่อมีการเอาแนวคิดที่ไม่ได้มีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรเข้ามาตีความสิ่งต่างๆแล้วก็จะทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น