วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ประชากรไทยกำลังหดตัว!!

วันนี้ไปอ่านเจอประเด็นน่าสนใจ นั่นคืออัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total fertility rate) ซึ่งเป็นตัวเลขที่หมายถึงจำนวนเด็กที่เกิดเฉลี่ยต่อผู้หญิงหนึ่งคน เช่นถ้าในกลุ่มประชากรหนึ่งมีอัตรานี้เท่ากับ 2.0 นั่นก็หมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงหนึ่งคนก็จะมีลุกสองคน

คำถามสำคัญก็คืออัตราเท่าไหร่ที่จะทำให้ขนาดประชากรคงที่? หรือเรียกอีกอย่างก็คืออัตราการเจริญพันธุ์ทดแทน (Replacement fertility rate) ก็คืออัตราที่ทำให้ประชากรเกิดขึ้นใหม่ทดแทนพอดี

บางคนอาจจะคิดว่า 2.0 รึเปล่า แทนผู้หญิงหนึ่งคนและแทนผู้ชายอีกหนึ่งคน ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ แต่ว่ามันยังมีปัจจัยอื่นอีกที่มีผล ในขั้นแรกอัตราการเกิดตามธรรมชาติของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อัตราการเกิดโดยธรรมชาติของทารกชายต่อทารกหญิงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 103-107:100 (ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 105:100) นั่นหมายความว่าอัตรานี้จะต้องมากกว่า 2.0 และจะต้องอยู่ที่ประมาณ 2.03-2.07 ในประเทศไทยก็ต้องอยุ่ที่ประมาณ 2.05

แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะเด็กที่เกิดอาจมีโ่รคภัยไข้เจ็บและเสียชีวิตได้ ดังนั้นอัตรานี้ก็จะต้องเผื่ออัตราการเสียชีวิตของเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ด้วย ดังนั้นในประเทศที่มีปัญหาเรื่องนี้เยอะก็จะต้องการอัตราการเจริญพันธุ์รวมที่สูง บางประเทศอาจต้องสูงถึง 3.3! สำหรับประเทศไทยนั้นผมยังไม่เจอว่ามีใครประมาณเอาไว้ แต่ให้กะๆเอาก็น่าจะสูงกว่า 2.05 ขึ้นไปซักหน่อย

ปัญหาก็คือในปี 2557 นั้นอัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 1.4 เท่านั้น! ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเรามองไปในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นว่ามีผู้หญิงที่ไม่แต่งงานจำนวนมากขึ้น มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไม่มีลูก หรือมีลูกเต็มที่ก็มักจะแค่สองคนเท่านั้น และดูๆไปแล้วแนวโน้มทางสังคมนี้ก็ไม่ได้ดูจะหายไปไหน นั่นหมายความว่าประชากรไทยจะค่อยๆหดตัวลง

แต่ปัญหาที่จะต้องเจอกันก่อนที่ประชากรจะหดตัวลงก็คือปัญหาประชากรแก่ตัว เนื่องจากการแพทย์ในยุคปัจจุบันดีขึ้น และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมก็ดีขึ้น นั่นทำให้ประชากรอายุยืนขึ้น และเราจะต้องเจอสถานการณ์ที่ประชากรสูงอายุมีจำนวนมากเมื่อเทียบกับประชากรในวัยทำงาน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศที่พัฒนาแล้ว ในบางประเทศหนักกว่าเราอีกเพราะอัตราเจริญพันธุ์รวมไม่ถึงครึ่งของอัตราทดแทนด้วยซ้ำ! (ดูอัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศต่างๆได้ที่แผนที่นี้ http://bit.ly/1Jzyul7)

ประเทศไทยนั้นมีปัญหาอีกอย่างคือการที่ต้องเก็บภาษีจากวัยทำงานไปจ่ายให้ค่ารักษาพยาบาลของผู้สูงอายุ นั่นหมายความว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยอาจจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องพึ่งพิงกำลังการผลิตจากแรงงานต่างด้าว เพราะลำพังประชาชนในวัยทำงานไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอต่อการเก็บภาษีไปใช้ดูแลผู้สูงอายุ

ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายมีอยู่ประมาณหนึ่งล้านสี่แสนคนในประเทศไทย วันนี้เขาคือแรงงานต่างด้าว แต่ใครจะไปรู้ ต่อไปเขาอาจเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของประเทศก็ได้

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

เราสามารถทำนายแผ่นดินไหวได้จริงหรือไม่

บ่อยครั้งเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นก็จะมีคนที่พูดถึงประเด็นของการทำนายภัยพิบัติเหล่านี้ ในกรณีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาลที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เช่นกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าเราไม่มีทางทำนายแผ่นดินไหวได้เลยเหรอ ในเมื่อเรามีเครื่องมีตรวจวัดต่างๆมากมาย และเราก็รู้ว่ารอยเลื่อนของแผ่นธรณีใหญ่ๆอยู่ที่ไหนบ้าง

ก่อนอื่นต้องลองถอยกลับมามองข้อมูลสำคัญที่ต้องได้จากการทำนายก่อน การทำนายจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ "สถานที่" และ "เวลา" ถูกต้องทั้งคู่ ซึ่งนี่แหละเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การทำนายแผ่นดินไหวเป็นเรื่องยากมากๆจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ลองจินตนาการสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีการประกาศออกมาว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในเมือง A วันที่ ฺB ในขั้นแรกหากวันที่ประกาศใกล้กับวันที่ทำนายว่าจะเกิดแผ่นดินไหวก็จะต้องเกิดความโกลาหลเพราะผู้คนจะพยายามหนีออกจากเมือง อาจมีการแย่งชิงสินค้า อาหาร หรือน้ำมัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะหนักพอๆกันหรืออาจจะมากยิ่งกว่าผลที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวเอง

ถ้าวันที่ประกาศห่างจากวันที่ทำนายพอสมควรก็อาจจะไม่เกิดความโกลาหล แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร? สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมืองนั้นคงจะกลายเป็นเมืองร้าง กิจกรรมทุกอย่างในเมืองก็จะหยุดสนิท ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะตามมาอย่างมากมาย

ไม่เพียงแค่นั้นการทำนายแผ่นดินไหวเองนั้นก็ทำได้ยากอยู่แล้ว การจะระบุสถานที่และเวลาให้ได้อย่างแม่นยำนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลประกาศการทำนายแผ่นดินไหวออกมา ผู้คนย้ายออกจากเมืองหมด แต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือรัฐบาลประกาศการทำนายออกมาแล้วผู้คนย้ายออกไปเมืองข้างๆ แต่แผ่นดินไหวกลับไปเกิดในเมืองข้างๆแทน โอกาสที่จะทำนายถูกนั้นต่ำอยู่แล้ว และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำนายที่ผิดก็ยังใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้จำเพาะอยู่กับแผ่นดินไหวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงภัยพิบัติประเภทอื่นๆด้วย



เมื่อเราตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้แล้วเราก็คงจะไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงแทบจะไม่เคยได้ยินประกาศเกี่ยวกับการทำนายภัยพิบัติเลย และในการจัดการกับปัญหาภัยพิบัตินั้นประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำนายเป็นอันดับหนึ่ง แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะลดความเสียหายที่เกิดขึนแทน กฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านเรือนและสิ่งต่างๆที่ทนทานต่อแผ่นดินไหว การเตรียมพร้อมในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในปัจจุบัน

และถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นประสิทธิภาพของวิธีเหล่านี้ก็ต้องลองเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลและสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นหากแผ่นดินไหวในระดับเดียวกันเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เนปาลนั้นปัจจุบันอยู่ที่สองพันกว่าคน และสุดท้ายแล้วน่าจะอยู่ที่สามพันกว่าคน แต่หากแผ่นดินไหวในระดับเดียวกันเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย(ซึ่งมีกลไกในการลดความรุนแรงจากแผ่นดินไหว)จำนวนผู้เสียชีวิตถูกประมาณไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณสิบถึงสามสิบคนเท่านั้น!

ดังนั้นแนวคิดในปัจจุบันก็คือเราไม่พยายามจะทำนายสิ่งที่เราไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ แต่เราเลือกที่จะเตรียมพร้อมในการลดความรุนแรงหากเกิดภัยพิบัติขึ้นแทน

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

ประเด็นการเหยียบย่ำธงชาติที่อเมริกา

วันศุกร์ที่ 24 เมษายนที่ผ่านมามีกรณีขัดแย้งที่น่าสนใจเกิดขึ้นที่อเมริกา นักศึกษาที่ Valdosta State University ในรัฐ Georgia ได้จัดการประท้วงในประเด็นการเหยียดผิว ซึ่งการประท้วงนี้ได้ผ่านการอนุญาตจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้ว (http://huff.to/1J1tPoX)

ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นตอนที่นักศึกษาทำการเหยียบย่ำธงชาติสหรัฐระหว่างการประท้วง และมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาแย้งธงไปด้วยเหตุผลว่า "ธงชาติเป็นของทุกคน ไม่ควรเอามาทำแบบนี้" ซึ่งนักศึกษาก็ขอคืน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่คืน จนกระทั่งตำรวจต้องมาขอคืน ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่คืน จนตำรวจต้องจับกุมผู้หญิงคนนี้ด้วยข้อหา "ลักทรัพย์" เพื่อคืนธงให้กับนักศึกษา! (แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนี้ถูกปล่อยตัวและไม่ได้ถูกตั้งข้อหา) ซึ่งเสียงในสังคมส่วนใหญ่ก็พูดว่าผู้หญิงคนนี้ทำไม่ถูกต้องที่ไปแย่งธงมา

ประเด็นที่สำคัญก็คือรัฐธรรมนูญอเมริกานั้นมีกำหนดเอาไว้ว่า "เสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการชุมนุมอย่างสันตินั้นจะถูกขัดไม่ได้" และคำว่า "อย่างสันติ" ก็หมายถึง "ไม่ได้ละเมิดซึ่งสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น" การประท้วงครั้งนี้ได้รับอนุญาตเพราะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยถือว่าการชุมนุมในรูปแบบนี้นั้นเป็นการชุมนุมอย่างสันติ (การเหยียบธงไม่ได้ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นแต่อย่างใด) และอเมริกาก็ไม่ได้มีกฎหมายห้ามการเหยียบย่ำธงชาติ นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีสิทธิในการขัดการประท้วงครั้งนี้ และตำรวจก็มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องสิทธินี้ของนักศึกษา

เนื่องจากประเทศไทยนั้นมีกฎหมายห้ามเหยียบย่ำธงชาติ (http://bit.ly/1Jticu4) ดังนั้นการประท้วงโดยการเหยียบย่ำธงชาติในประเทศไทยนั้นก็จะเป็นเรื่องผิดกฎหมายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าจะลองยกตัวอย่างเทียบเคียงก็คงจะเป็นพระหรือสิ่งสักการะทางศาสนา ถ้าสมมติว่ามีกลุ่มนักศึกษาทำการประท้วงโดยการเหยียบย่ำพระเครื่องนั้น ผมเชื่อว่าน่าจะต้องมีคนเข้าไปห้ามด้วยเหตุผลว่า "พระเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรเอามาทำแบบนี้" และจะต้องมีหลายคนที่เห็นด้วยกับคนที่เข้าไปห้าม แล้วถ้าตำรวจมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตำรวจจะจับกุมคนที่เข้าไปห้าม แม้ว่าจริงๆตามกฎหมายแล้วเจ้าของย่อมมีสิทธิเต็มที่ในการเหยียบย่ำพระเครื่องของตนเอง

ประเทศไทยนั้นมีวิธีปฏิบัติที่ไม่ได้ยึดถือแบบตรงตามตัวอักษร แต่มีการนำเอาแนวคิดในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่ามันไม่ดีเพราะเป็นการตีความนอกกฎหมายที่ระบุไว้ แต่บางคนก็อาจจะบอกว่ามันดีเพราะกฎหมายย่อมไม่สามารถครอบคลุมเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในสังคมได้ทั้งหมด ผมเองไม่ได้จะมาบอกให้เชื่อว่าอันไหนดีกว่าอันไหน แต่แค่จะมาชี้ให้เห็นว่าเรามีหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนในชีวิตประจำวันว่ารูปแบบการคิดพิจารณาต่างๆในสังคมไทยนั้นไม่ได้ตรงไปตรงมาตามตัวหนังสือที่เขียนไว้ สังคมไทยอาจจะชอบแบบนี้ แต่นั่นก็หมายความว่าเราต้องยอมรับที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความไม่แน่นอน เพราะเมื่อมีการเอาแนวคิดที่ไม่ได้มีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรเข้ามาตีความสิ่งต่างๆแล้วก็จะทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไร

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

โซนเวลาร่วมของอาเซียน (ASEAN Common Time Zone)

วันนี้ได้อ่านข่าวหนึ่งซึ่งเขียนถึงความพยายามในการปรับโซนเวลาของประเทศทั้งหมดในอาเซียนให้ตรงกัน (http://bit.ly/1zYg319) อ่านแล้วเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจก็เลยเอามาแบ่งปันกัน

ต้องเริ่มต้นก่อนว่าการบอกโซนเวลาในปัจจุบันจะบอกกันโดยเทียบกับ Coordinated Universal Time (UTC) ซึ่งกำหนดให้เวลามาตรฐานอยู่ที่หอดูดาวเมืองกรีนิช ประเทศอังกฤษ และบอกโซนเวลาด้วยการระบุว่าโซนนั้นต่างจาก UTC เท่าไหร่ ซึ่งประเทศต่างๆในอาเซียนก็จะมีโซนเวลาที่เร็วกว่า UTC ซึ่งเร็วกว่ากี่ชั่วโมงก็ดูได้ตามนี้
UTC+6.5 - เมียนมาร์
UTC+7 - ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฝั่งตะวันตกของอินโดนีเซีย
UTC+8 - สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ส่วนกลางของอินโดนีเซีย
UTC+9 - ฝั่งตะวันออกของอินโดนีเซีย

ซึ่งข้อเสนอนี้จะทำให้ประเทศในอาเซียนมาใช้ UTC+8 ทั้งหมด โดยมีความคาดหวังว่าจะทำให้ง่ายต่อกิจกรรมต่างๆภายในประเทศทั้งการเดินทาง ธุรกรรมการค้า การติดต่อระหว่างหน่วยงานราชการ และยังทำให้โซนเวลาในภูมิภาคเข้าใกล้กับประเทศสำคัญๆหลายประเทศเช่นจีน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น (http://bit.ly/1z41aQ5)

บางกอกโพสต์รายงานว่าประเทศที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันคือไทย กัมพูชา และเมียนมาร์ (http://bit.ly/1I84afX) โดยไทยและกัมพูชาเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบกับชีวิตภายในประเทศ ส่วนเมียนมาร์นั้นเกรงว่าคนที่อยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศในรัฐคะฉิ่นจะได้รับผลกระทบมากเพราะพระอาทิตย์จะขึ้นช้า(เจ็ดโมงกว่าๆ)และตกช้า(สามทุ่มกว่าๆ) ในความเห็นบนหน้าข่าวของบางกอกโพสต์นั้นก็มีคนพูดว่า "คนไทยก็ต้องตื่นเช้าขึ้น" และ "เกษตรกรในชนบทจะมีปัญหาเพราะต้องตื่นเช้าขึ้น แล้วเข้านอนตามเวลาเดิมไม่ได้เพราะอากาศจะยังร้อนอยู่"

ในความเห็นของผมนั้นข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่มีประโยชน์มาก การที่ทั้งภูมิภาคจะใช้โซนเวลาเดียวกันนั้นมีประโยชน์มหาศาลจริง สำหรับปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นดูจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่หลายๆคนไม่เคยเจอมาก่อน แต่จริงๆแล้วเป็นเรื่องเล็กมาก

ผลกระทบกับชีวิตภายในประเทศ
มีหลายประเทศในโลกที่ใช้ Daylight Saving Time (ประเทศสีฟ้าในแผนที่นี้ http://bit.ly/1KfGNjN) ซึ่งเป็นการปรับเวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงในช่วงเริ่มต้นของฤดูร้อน และปรับเวลากลับเหมือนเดิมในช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาว นั่นหมายความว่าประเทศเหล่านี้มีการปรับโซนเวลาสองครั้งต่อปี ผมเองมีประสบการณ์การปรับโซนเวลาในอเมริกา ซึ่งชีวิตมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรขนาดนั้น ประเด็นสำคัญคือการทำให้ประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วนรับรู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเกินทำ

ปัญหาในรัฐคะฉิ่นของเมียนมาร์
สถานการณ์ในรัฐคะฉิ่นจะมีความคล้ายคลึงกับเมืองต่างๆในฝั่งตะวันตกของประเทศจีน(ประเทศจีนใช้โซนเวลาเดียวกันทั้งประเทศ คือ UTC+8) เพราะในเมืองเหล่านี้ก็ต้องเจอกับการที่พระอาทิตย์ขึ้นช้าและตกช้าเช่นเดียวกัน ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของเมืองเหล่านี้ก็คือเริ่มทำกิจกรรมต่างๆช้ากว่าส่วนอื่นของประเทศ เช่นเริ่มงานช้ากว่าส่วนอื่นหนึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าความต้องการแต่แรกของการใช้โซนเวลาร่วมคือเพื่อให้เวลาการทำงานของทุกส่วนในภูมิภาคตรงกัน แต่หากมีส่วนเล็กๆของประเทศที่จะไม่ตรงกับคนอื่นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้

คนไทยต้องตื่นเช้าขึ้น
จริงครับ แต่ก็เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น หลังจากวันแรก(ที่เราจะมีแค่ 23 ชั่วโมง) เราก็จะกลับสู่ชีวิตปกติ(มี 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม) ผมว่าข้อโต้แย้งนี้ไร้แก่นสารมากๆ

เกษตรกรในชนบท
ผู้ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาบอกว่าเกษตรกรในชนบทจะมีปัญหา เพราะตื่นมาแล้วจะต้องรอนานกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น และตอนจะเข้านอนจะลำบากเพราะอากาศจะยังร้อน ฟังดูอาจจะมีเหตุผลแต่ผมคิดว่าจริงๆแล้วไม่มี เพราะชีวิตของเกษตรกรในชนบทนั้นไม่เคยผูกกับนาฬิกาอยู่แล้ว แต่ผูกอยู่กับพระอาทิตย์ เกษตรกรเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเวลาของกิจกรรมในชีวิตตัวเองตามนาฬิกาแต่อย่างใด สามารถที่จะตื่นและเข้านอนตามพระอาทิตย์ได้เหมือนเดิม

สรุปแล้วผมคิดว่าข้อเสนอนี้มีประโยชน์มาก และไม่ใช่เรื่องยากถ้าคิดจะทำ ข้อโต้แย้งต่างๆนั้นก็ดูจะไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนเหตุผลสักเท่าไหร่