วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตอบไวแบบสายฟ้าแลบคือฉลาด ชัวร์หรือมั่วนิ่ม?

จริงๆแล้วเรื่องนี้ผมก็พยายามหาคำตอบมาได้สักพักแล้วเพราะเป็นส่วนสำคัญของการเรียนการสอน แต่สิ่งที่กระตุ้นให้มาเขียนถึงก็คือกรณีที่มีตัวแทนไทยไปถามปธน.โอบามาใน Young Southeast Asian Leaders Initiative ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนนี้ว่า "ถ้าเป็นคนโรฮิงญาจะอยากอยู่ประเทศไหน? และทำไม?" (ดูวีดีโอได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/1AKifPB เริ่มต้นที่ 41:50)


ผมรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษเพราะผมพบว่าหลายๆคนมองว่าเจอคำถามนี้เข้าไป "โอบามาถึงกับอึ้ง" ถ้าเราไปย้อนดูวีดีโอแล้วเราก็จะพบว่าตั้งแต่ถามคำถามจบ จนถึงตอนที่ปธน.โอบามาเริ่มตอบ ใช้เวลาประมาณแปดวินาที (42:18-42:26) ซึ่งเป็นเวลาที่นานกว่าหลายๆคำถามในกิจกรรมเดียวกันจริงๆ โดยในหลายๆคำถามในกิจกรรมนี้ปธน.โอบามาจะตอบภายในสองถึงสามวินาทีเท่านั้น หรือบางอันก็แทบจะเริ่มตอบได้ทันที ความแตกต่างของเวลานี้ก็คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายๆคนมองว่ากรณีนี้ปธน.โอบามา "อึ้ง"

ถ้าเราลองมองไปรอบๆตัว รวมทั้งมองไปข้างในตัวเอง ความเชื่อที่พบได้ทั่วไปสำหรับการตอบคำถามที่เรียกได้ว่า "ฉะฉานและฉลาดเฉลียว" ก็คือการที่ผู้ตอบสามารถตอบได้แทบจะทันที สิ่งนี้สะท้อนผ่านสื่อกระแสหลักซึ่งมีวิธีหนึ่งในการแสดงความฉลาดเฉลียวของตัวละครคือการตอบคำถามได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พฤติกรรม "อึ้ง" ซึ่งตัวละครต้องใช้เวลาคิดนานนั้นก็มักจะถูกสื่อออกมาในภาพของสถานการณ์จนแต้ม

อีกจุดหนึ่งที่ความเชื่อนี้แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนก็คือการถามคำถามในห้องเรียนระหว่างครูและนักเรียน มีการวิจัยว่าครูให้เวลานักเรียนคิดนานเท่าไหร่ในการตอบคำถาม(http://bit.ly/1IcExcJ) และพบว่าเวลาโดยเฉลี่ยที่ให้นั้นน้อยกว่าหนึ่งวินาที! และถ้ามีนักเรียนคนไหนสามารถตอบขึ้นมาได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆนั้น คำถามต่อไปก็มักจะตามมาภายในหนึ่งวินาทีหลังจากที่นักเรียนพูดจบ ถ้านักเรียนใช้เวลาคิดนานกว่านี้ครูก็มักจะถือว่านักเรียนตอบไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าเราทุกคนลองนึกย้อนไปตอนที่เป็นนักเรียนก็คงจะเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น และนี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าความเชื่อในทำนองว่า การตอบคำถามได้รวดเร็วคือสิ่งที่ควรจะเป็น นั้นฝังรากลึกอยู่ในระบบความเชื่อของเรา


แต่ผมคิดว่ามุมมองที่จะเป็นประโยชน์กว่าคือการตั้งคำถามว่า "แนวคิดนี้ถูกต้องจริงหรือไม่?"

ย้อนกลับไปที่งานวิจัยทางข้างต้นอีกที สิ่งที่ผู้วิจัยเสนอก็คือให้ผู้ถามรอเป็นเวลาสามถึงห้าวินาที ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเวลานานมาก และหลายๆคนจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องรอ ทว่าการตอบคำถามนั้นต้องใช้เวลามากกว่าที่เราคิด ถ้าเราลองมาคิดดูดีๆว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เราก็จะพบว่าการจะตอบคำถามนั้นต้องใช้กระบวนการถึงสี่ขั้นตอนด้วยกันก่อนจะเริ่มตอบได้ นั่นคือ 1.ตีความคำถาม 2.ค้นหาคำตอบที่เป็นไปได้ 3.พิจารณาว่าคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ดี และ 4.เรียบเรียงคำตอบให้อยู่ในรูปแบบที่ผู้ฟังจะรู้เรื่อง ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆเลย แม้ว่าบางครั้งกระบวนการนี้อาจจะเร็ว แต่ก็คงไม่ได้เร็วไปกว่าหนึ่งวินาทีแน่นอน

Peter Bregman เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "Four Seconds" (http://bit.ly/1Gpe9xw) ซึ่งกล่าวถึงวิธีง่ายๆเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น และพูดถึงเหตุผลทางชีววิทยาที่รองรับข้อเสนอที่ผู้วิจัยตามข้างต้นบอกว่าให้รอสามถึงห้าวินาที ประเด็นสำคัญก็คือเวลาเรารับสิ่งกระตุ้นอะไรเข้ามาแล้วสมองส่วนแรกที่จะตอบสนองก็คือส่วนที่เรียกว่าอะมิกดะลา (amygdala - ชื่อเดียวกันกับเจ้าหญิงใน Star Wars ที่เป็นแม่ของอนาคินนั่นแหละ) ซึ่งอะมิกดะลานั้นเป็นเป็นสมองในส่วนของอารมณ์ความรู้สึก และไม่ใช่ส่วนที่รับผิดชอบตรรกะและความคิดระดับสูง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสมองส่วนหน้า และตามสรีรวิทยาของสมองแล้วเวลาที่ต้องใช้ในการที่สมองส่วนหน้าจะเริ่มทำงานเต็มประสิทธิภาพก็คือประมาณหนึ่งถึงสองวินาที


ดังนั้นเราต้องการเวลาหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนที่สมองส่วนหน้าจะทำงานได้เต็มที่ และเราก็ต้องใช้เวลาต่อไปจากนั้นอีกหน่อยเพื่อคิดตามขั้นตอน 1-4 ตามข้างต้น ก็เป็นข้อสนับสนุนของคำแนะนำว่าเมื่อถามคำถามแล้วให้รอสามถึงห้าวินาที ซึ่งการรอสามถึงห้าวินาทีนี้ก็มีประโยชน์มากมาย เพราะคำตอบที่ได้จะยาวขึ้น สมบูรณ์ขึ้น มีเหตุมีผลมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ภายหลังจากนั้นการมีส่วนร่วมของนักเรียนจะเพิ่มขึ้น และกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ผุ้ถามเองก็ได้คำตอบที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับทั้งคู่นะครับ การตอบคำถามในสถานการณ์ของปธน.โอบามาก็ควรทำตามแนวคิดนี้เช่นกัน คือคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนตอบ และให้คำตอบที่มีเหตุมีผลและสมบูรณ์ที่สุดตามที่เวลาอำนวย ลองสังเกตว่าคำถามถัดไปในวีดีโอก็ต้องคิดพิจารณามากเช่นเดียวกัน(เริ่มต้นที่ 48:20) ซึ่งคำถามนี้ปธน.โอบามาใช้เวลาถึงสิบวินาทีก่อนจะเริ่มตอบ

แต่ ณ จุดนี้ผู้อ่านก็น่าจะมีข้อสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือ แล้วกรณีที่ตอบได้รวดเร็วทันทีล่ะ มันหมายถึงอะไร?

ผมคิดว่ามันมีได้สองเหตุผลครับ เหตุผลแรกคือผู้ตอบเคยตอบคำถามเดียวกันมาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะตอบได้เร็ว และเหตุผลที่สองก็คือคำถามเป็นคำถามแบบท่องจำ ผู้ตอบจึงไม่ต้องคิดพิจารณานัก นึกคำตอบออกก็ตอบได้เลย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของคำถามที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าเจอเหตุการณ์ที่ใครตอบเราได้ภายในเวลาสั้นๆแล้วล่ะก็ ต้องลองคิดดูให้ดีๆนะครับว่าคำถามของเรานั้นง่ายเกินไปรึเปล่า

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ แล้วเราจะรอนานที่สุดเท่าไหร่? ซึ่งผมเองยังไม่เจองานวิจัยที่ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ที่ได้คุยกับหลายๆคนและได้เห็นตัวเลขที่ใช้กันทั่วๆไปแล้วก็มักจะอยู่ที่สิบวินาที คือถ้าถามไปแล้วสิบวินาทียังไม่มีใครยกมือ หรือคนตอบยังดูเก้ๆกังๆไม่รู้จะตอบยังไงล่ะก็ แสดงว่าน่าจะรอนานเกินไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การคิดว่าผู้ตอบตอบไม่ได้ แต่อยู่ที่การกลับมามองคำถามของเราว่าเราถามรู้เรื่องไหม ให้ข้อมูลครบไหม เรียบเรียงคำถามใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องนะครับ

สรุปว่าภาพลักษณ์ของการตอบแบบไวสายฟ้าแลบ ตอบแบบสุดเทพภายในช่วงเวลาสั้นๆ มันเป็นแค่ความเชื่อครับ มีไว้แค่ให้หนังหรือละครน่าดูเท่านั้นแหละ แต่ไม่ตรงกับความจริง ในชีวิตจริงแล้วเวลาที่ควรรอคือห้าวินาที ถ้ารอถึงสิบวินาทีแล้วยังไม่มีคำตอบก็ลองพิจารณาสถานการณ์ และเรียบเรียงคำถามใหม่หรือไม่ก็ข้ามไปคำถามอื่นนะครับ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แก้ปัญหาผิดวิธี แก้ทั้งชาติก็ไม่จบ

- ชายคนหนึ่งมีปัญหาเพราะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้แฟน เขาพยายามพาแฟนไปช็อปปิ้งและกินอาหารหรูหราทุกครั้งที่มีโอกาส แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกกัน

- บริษัทหนึ่งขัดแย้งกับลูกค้าเพราะเพราะลูกค้าไม่ค่อยให้ความเคารพการตัดสินใจของบริษัท และแม้บริษัทจะพยายามลดราคาสินค้าและบริการให้อยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็เป็นคู่ค้ากันต่อไปไม่ได้

- สามีภรรยาคู่หนึ่งพยายามจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตลูกมากเกินไป และแม้ว่าทั้งสามคนจะรักกันมาก แต่สุดท้ายแล้วลูกก็เลือกไปอยู่หอของมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตตามการตัดสินใจของตัวเอง

- เพื่อนสนิทสองคนรักผู้ชายคนเดียวกันแล้วตกลงกันไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไร และแม้ทั้งสองคนจะสนิทกันและเป็นเพื่อนกันมานาน แต่สุดท้ายก็ต้องหมางเมินกันไป

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยถ้าผมจะบอกว่าเรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และทุกท่านก็คงไม่แปลกใจถ้ามีใครมาเล่าเรื่องแบบนี้ให้ฟัง คำถามที่ผมอยากถามคือ เรื่องสั้นๆทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมีอะไรที่คล้ายกัน? ถ้าท่านตอบว่าทุกเรื่องมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ก็คงจะไม่ผิด ถ้าท่านตอบว่าคนในทุกเรื่องไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน แต่ผมอยากจะเสนอคำตอบหนึ่งให้ลองพิจารณากัน นั่นคือ "ทุกเรื่องใช้วิธีแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง"

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้อ่านบทความเรื่อง "Turning Negotiation into a Corporate Capability" เขียนโดย Danny Ertel ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review เมื่อปี 1999 (http://bit.ly/1By9VgW - ถ้าลงทะเบียนแล้วจะอ่านบทความได้ฟรีเดือนละห้าเรื่องนะครับ) ซึ่งในบทความนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ และมีความหมายเกี่ยวกับเรื่องทั้งสี่เรื่องทางด้านบนมาก

Ertel เล่าถึงการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM สิ่งที่น่าสนใจในการเจรจาครั้งนี้ก็คือทั้งสองบริษัทแบ่งปัจจัยในการเจรจาออกเป็นสองส่วน คือ "ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง" (เช่น ราคา เงื่อนไขการจ้างงาน ความรวดเร็วของการส่งสินค้า) และ "ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์" (เช่น ความเชื่อใจที่มีให้กัน ความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่าย การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ) จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้กำหนดเงื่อนไขในการเจรจาขึ้นมาข้อหนึ่งว่า "ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับปัจจัยในส่วนหนึ่ง จะเอาปัจจัยในอีกส่วนหนึ่งมาแลกไม่ได้เด็ดขาด" ตัวอย่างเช่นถ้าสองบริษัทสื่อสารกันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ(ปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์) ก็ห้ามใช้วิธีแก้ไขด้วยการลดราคา(ปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง) เพราะจะลดราคาแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารดีขึ้น แต่ในทางกลับกันการลดราคาสามารถนำมาชดเชยการส่งของช้าได้(เป็นปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงทั้งคู่)

ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่สี่เรื่องทางด้านบน เราจะพบว่าสองเรื่องแรกนั้นเป็นปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์(ไม่มีเวลาให้กัน/ไม่มีความเคารพให้กัน) และแม้ว่าจะพยายามนำปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลงมาชดเชยมากขนาดไหน(ซื้อของแพงๆให้/ลดราคาสินค้า) ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

ในทางกลับกันเรื่องที่สามและเรื่องที่สี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่มีปัญหาของปัจจัยเกี่ยวกับข้อตกลง(บทบาทของพ่อแม่ในชีวิตลูกควรเป้นอย่างไร/จะทำอย่างไรเมื่อรักผู้ชายคนเดียวกัน) และแม้ว่าจะมีปัจจัยด้านความสัมพันธ์ที่ดี(ความรักในครอบครัว/ความเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน) ก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้จะบรรลุข้อตกลงได้

และนั่นก็ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการนำมุมมองที่เราได้จากการเจรจาระหว่าง Kodak และ IBM มาใช้ในชีวิตของเรา นั่นคือเราต้องตระหนักเสมอว่าปัจจัยสองประเภทนี้ต่างกัน และจะนำมาชดเชยกันไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ยั่งยืน(การลดราคาอาจดึงลูกค้าไว้ได้ชั่วคราว/การอ้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอาจดึงลูกให้อยู่ที่บ้านได้ชั่วคราว) แต่สุดท้ายแล้วแผลที่กลัดหนองก็จะต้องปะทุออกมาอยู่ดี

ตัวผมเองนั้นก็ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเองหลังจากได้อ่านบทความนี้เช่นกัน ผมมีปัญหาระหองระแหงเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาตลอด และความผิดพลาดของผมก็คือผมใช้ปัจจัยเรื่องข้อตกลงมาชดเชยปัญหาเรื่องความสัมพันธ์อยู่เสมอ อีกเรื่องหนึ่งก็คือผมมีปัญหาเรื่องข้อตกลงบางอย่างกับที่บ้าน และแม้ว่าเราจะรักกันแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าความรักในครอบครัวจะทำให้เราบรรลุข้อตกลงกันได้ หลังจากได้อ่านบทความเรื่องนี้และรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดไป ผมก็คงจะลองกลับไปแก้ปัญหาอย่างถูกต้องดูครับ

สำหรับทุกท่านหลังจากอ่านจบแล้วก็ลองมองย้อนกลับไปในกรณีปัญหาต่างๆในชีวิตของเราดูครับ บางทีที่ผ่านมาเราอาจจะแก้ปัญหาผิดวิธีมาตลอดก็ได้